Last Updated on 22 พฤศจิกายน 2022 by puechkaset
ละหุ่ง (Castor) จัดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งในอดีต เพราะเมล็ดนำมาสกัดน้ำมัน ซึ่งถูกใช้มากในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ การผลิตน้ำมันหล่อลื่น สี หมึกพิมพ์ น้ำมันขัดเงา สบู่ และลิปสติก เป็นต้น รวมถึงใช้กากหลังการสกัดเป็นส่วนผสมอาหารสัตว์ เพราะมีโปรตีนสูง แต่ต้องกำจัดสารพิษก่อน ปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลง เพราะมีการใช้น้ำมันจากแหล่งอื่นมาใช้แทน
อนุกรมวิธาน
• อาณาจักร : Plantae
• อาณาจักรย่อย : Magnoliophyta
• ชั้น : Magnoliopsida
• ตระกูล: Malpighiales
• วงศ์ : Euphorbiaceae
• สกุล : Ricinus
• ชนิด : Communis L.
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ricinus communis Linn
• ชื่อสามัญ :
อังกฤษ
– Castor
– Castor bean (นิยมใช้เรียกส่วนของเมล็ด แต่ปัจจุบันไม่นิยมแล้ว เพราะ ละหุ่งไม่ใช่พืชตระกูลถั่ว)
– Castor oil plant
สเปน และโปรตุเกส
– Ricinus
• ชื่อท้องถิ่น :
ภาคกลาง และทั่วไป
– ละหุ่งแดง
– ละหุ่งขาว
– มะละหุ่ง
ภาคเหนือ
– มะโห่ง
– มะโห่งหิน
จีน : ปี่มั้ว
คำว่า Ricinus มาจากภาษาลาติน แปลว่า เห็บสุนัข เพราะ Linnaeus เห็นเมล็ดละหุ่งด้านในคล้ายกับเห็บสุนัข ส่วนชื่อสามัญคำว่า Castor มาจากพ่อค้าชาวอังกฤษใช้เรียกน้ำมันที่ได้มาจาก Vitex agnus-castus [4] อ้างถึงใน Weiss (1983)
ถิ่นกำเนิด และการแพร่กระจาย
ละหุ่งสันนิษฐานว่ามีถิ่นกำเนิดในอินเดียหรือแอฟริกา [1] อ้างถึงใน Kulkarni และ Ramnamurthy (1977) ปัจจุบันพบแพร่กระจายทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อน เขตร้อนชื้น โดยพบมากในประเทศบราซิล จีน อินเดีย รัชเซีย และสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศไทย [1] อ้างถึงใน อนันต์ (2526) ส่วนประเทศไทยพบละหุ่งแพร่กระจายในทุกภาค พบได้มากในพื้นที่ลุ่มหรือริมทางน้ำ ริมแม่น้ำ เพราะการไหลของน้ำช่วยในการแพร่กระจายของเมล็ด
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น
ละหุ่ง เป็นพืชล้มลุกฤดูเดียวหรือมีอายุข้ามปี ลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 2-6 เมตร ลำต้นแตกกิ่งแขนงออกน้อย ทำให้แลดูเป็นทรงพุ่มโปร่ง เปลือกลำต้น และกิ่งมีทั้งสีเขียว สีน้ำตาล สีเหลืองหรือสีม่วงแดง และอาจมีนวลสีขาวปกคลุม ซึ่งแตกต่างกันตามสายพันธุ์ ส่วนแก่นลำต้นเป็นไม้เนื้ออ่อน เปราะหักง่าย
ใบ
ละหุ่ง เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ แทงใบออกเดี่ยวๆเรียงสลับตามลำต้น ใบมีก้านใบทรงกลม ยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร ถัดมาเป็นแผ่นใบที่มีลักษณะเว้าเป็นแฉกๆคล้ายใบมะละกอ แต่ก้านใบละหุ่งจะเชื่อมกับแผ่นใบบริเวณตรงกลาง แผ่นมีขนาดประมาณ 20-60 เซนติเมตร แต่ขนาดใบจะแตกต่างตามสายพันธุ์ แผ่นใบเป็นแฉกเว้า ประมาณ 7-11 แฉก เรียงกันเป็นวงกลม แต่ละแฉกมีโคนเชื่อมติดกัน แผ่นแต่ละแฉกเรียบ ขอบมีลักษณะหยักเป็นฟันเลื่อย แผ่นแฉกมีเส้นกลางใบ และเส้นแขนงใบมองเห็นชัดเจน ทั้งนี้ ทั้งก้านใบ แผ่นใบ เส้นกลางใบจะมีสีแตกต่างกันตามสายพันธุ์ อาทิ ก้านใบสีม่วงแดง ก้านใบสีเขียว เส้นกลางใบสีเขียวอ่อน เส้นกลางใบสีม่วงแดง เป็นต้น
ดอก
ละหุ่งออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ประกอบด้วยดอกแยกเพศ แต่จะอยู่บนช่อดอกเดียวกัน ซึ่งใช้การผสมเกสรด้วยแมลงเป็นหลัก ประกอบด้วยมีช่อดอกยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร ช่อดอกมีลักษณะเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นประกอบด้วยดอกออกเป็นกระจุกรวมกันแน่น
ดอกตัวผู้จะอยู่ด้านล่างของช่อดอก ประมาณ 50-70% ส่วนดอกตัวเมียจะอยู่ด้านบนของช่อ ประมาณ 30-50% โดยดอกตัวผู้จะไม่มีกลีบดอก มีเพียงกลีบเลี้ยงห่อหุ้มอับเรณูเอาไว้ เกสรด้านในมีสีเหลือง ส่วนดอกตัวเมียจะไม่มีกลีบดอก มีแต่กลีบเลี้ยงหุ้มไว้เช่นกัน โดยมีด้านล่างเป็นรังไข่ ปลายเกสรมีสีเหลืองแยกออกเป็น 3 แฉก
ผล
ละหุ่งติดเป็นผลเดี่ยวที่รวมบนช่อผลเดียวกัน ผลมีลักษณะทรงกลม ขนาดผลประมาณ 1.5-3 เซนติเมตร มีสีแตกต่างกันตามสายพันธุ์ เปลือกหุ้มผลหนา เปลือกหุ้มผลมีหนามปกคุลมทั่วผล คล้ายผลเงาะ ผลอ่อนมีหนามอ่อน ไม่ปักทิ่มร่างกาย แต่หากผลแก่ หนามจะแข็งขึ้น เมื่อผลแห้ง เปลือก และหนามจะแข็ง และคม เปลือกผลมีสีน้ำตาลอมดำ และปริแตกออกเป็นพูชัดเจน จำนวน 3 พู แต่ละพูมีเมล็ด 3 เมล็ด
เมล็ด
เมล็ดละหุ่งมีรูปรี และแบนเล็กน้อย ขนาดเมล็ดกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5-2.5 เซนติเมตร เปลือกเมล็ดเรียบ มีลายสีน้ำตาลดำ และสีครีมประ ผิวเป็นมัน และแข็ง ด้านในเมล็ดเป็นเนื้อเมล็ด สีขาวนวลหรือสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งประกอบด้วยน้ำมันจำนวนมาก
พันธุ์ละหุ่ง และการปรับปรุงพันธุ์
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่เริ่มปรับปรุงพันธุ์ เพื่อให้ละหุ่งต้านทานโรค และให้ผลิตสูง โดยเริ่มรวบรวมพันธุ์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1902 ณ รัฐ Oklahoma และNew York และได้เริ่มวิจัยปรับปรุงพันธุ์ในปี ค.ศ. 1941 ทำให้ได้พันธุ์ดีที่มีอายุการเก็บเหี่ยวสั้นหลายพันธุ์ ประเทศอื่นที่มีการปรับปรุงพันธุ์ ได้แก่ ประเทศรัชเซีย โดย Popova ทำเริ่มวิจัยปรัปรุงพันธุ์ละหุ่งในปี ค.ศ. 1922 และต่อมา Pustovoit ได้ปรับปรุงพันธุ์ละหุ่งจนได้พันธุ์ดีต่างๆ อาทิ Kruglik 5 และ NVIIMK 165 รวมถึงได้มีการค้นพบสายพันธุ์ s-pistillate type ในประเทศอิสราเอล พร้อมพัฒนาสายพันธุ์จนได้ลูกผสมที่สามารถปลูกเป็นพันทางการค้าได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1950 [2] อ้างถึงในเอกสารหลายฉบับ
ในประเทศไทยได้เริ่มปรับปรุงพันธุ์ละหุ่งประมาณปี พ.ศ. 2496 ด้วยการเริ่มรวบรวมพันธุ์พื้นเมืองพันธุ์ดีไว้ ณ สถานีกสิกรรมบ้านใหม่สำโรง จ.นครราชสีมา จนได้พันธุ์แท้ 6 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ขาว, พันธุ์แดง, พันธุ์แดงเข้ม, พันธุ์ดำใหญ่, พันธุ์ม่วงดำ และพันธุ์ลายหินอ่อน หลังจากนั้น ในปี พ.ศ. 2500 เสริมลาภ วสุวัต ได้นำเข้าพันธุ์เมล็ดเล็กจำนวน 8 พันธุ์ มาจากสหรัฐอเมริกา [2] อ้างถึงใน อารีย์ (2532) และดุสิต (2525)
พันธุ์ละหุ่งตามอายุการเก็บเกี่ยว [3]
1. พันธุ์อายุสั้น (annual type)
เป็นพันธุ์ที่มีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 140-180 วัน หลังปลูก มีลักษณะเด่น คือ มีลำต้นสูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้นแตกกิ่งแขนง ช่อดอกมี 4 ชั้น ผลแห้งไม่ปริแตกหรือปริออกเพียงเล็กน้อย ส่วนเมล็ดมีขนาดเล็ก ให้น้ำมันประมาณ 50-52% ได้แก่ พันธุ์ลูกผสม H22 และพันธุ์ TCO ของบริษัทสยามน้ำมันละหุ่ง เป็นต้น
2. พันธุ์อายุยาว หรือ พันธุ์ยืนต้น (perennial type)
พันธุ์นี้ มีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 200 วัน หลังปลูก จัดเป็นพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมของไทย ลำต้นมีอายุยืนประมาณ 8-12 ปี แต่ให้ผลผลิตตั้งแต่ปีแรกในการปลูก และจะปลูกใหม่ในทุกๆปีหรือเก็บผลผลิตให้ข้ามปีก่อน เพราะปีถัดไปจะให้ผลผลิตลดลง มีลักษณะเด่นที่ ลำต้นสูงใหญ่ แตกกิ่งสาขามาก ช่อดอกมีมากกว่า 4 ชั้น ผลมีขนาดใหญ่ เปลือกผลแข็ง และปริแตก แต่ให้น้ำมันน้อยกว่าพันธุ์อายุสั้น ประมาณที่ 46-48% เท่านั้น พันธุ์นี้ ได้แก่ พันธุ์แท้ 6 พันธุ์ ที่กล่าวข้างต้น
ประโยชน์ละหุ่ง
1. เมล็ดละหุ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์จากต้นละหุ่งที่สำคัญ และมีมูลค่าสูงสุด เมล็ดที่กะเทาะเปลือกออกแล้วจะเข้าสู่กระบวนการสกัดน้ำมัน ซึ่งถูกนำใช้ในหลายด้าน ได้แก่
– ใช้ในทางการแพทย์ สารหล่อลื่นภายนอก ใช้เป็นส่วนผสมของยาถ่าย เป็นต้น
– ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอุตสาหกรรม อาทิ น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันขัดเงา สีทาบ้าน หมึกพิมพ์ ทำสบู่ ลิปสติก เป็นต้น
– ใช้เป็นส่วนผสมของยาป้องกัน และกำจัดแมลงศัตรูพืช หรือใช้ฉีดพ่นในแปลงผักโดยตรง
3. พันธุ์สีม่วงแดงนำยอดอ่อนมาย้อมผ้า ให้ผ้าสีเขียวอมเหลือง ส่วนเปลือกผลที่มีสีแดงนำมาย้อมผ้าเช่นกัน ให้ผ้าสีชมพู
4. ลำต้นใช้เป็นวัตถุดิบผลิตกระดาษ โดยเฉพาะกระดาษสา
5. ชาวประมงอีสานรู้จักนำเมล็ดละหุ่งมาตำบด แล้วคลุกผสมกับน้ำมันพืชหรือน้ำมันหมู่ ก่อนใช้ทารอบตัวเพื่อป้องกันพิษจากหอยคันหรือป้องกันผื่นแพ้จากสาหร่ายเมื่อลงทอดแหหรือจำปลา
6. กากละหุ่งหลังการสกัดน้ำมันใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ เพราะกากที่เหลือมีโปรตีน และไขมันสูง ทั้งนี้ กากเมล็ดจะต้องเข้าสู่กระบวนการทำลายพิษก่อนนำไปใช้
7. กากละหุ่งใช้คลุกผสมกับวัสดุเพาะเห็ดสำหรับเพาะเห็ดต่างๆ
8. กากละหุ่งใช้ทำปุ๋ยหมักหรือเทใส่แปลงเกษตร และไถกลบก่อนฤดูเพาะปลูก
ส่วนประกอบทางเคมี และสารสำคัญในเมล็ดละหุ่ง
1. น้ำมันละหุ่ง (castor oil)
น้ำมันละหุ่งมีในเมล็ดละหุ่งประมาณ 50% แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ตามกระบวนการสกัด คือ น้ำมันละหุ่งสกัดเย็น มีลักษณะเหลืองใส ใช้มากในทางการแพทย์ และน้ำมันละหุ่งสกัดด้วยตัวทำละลาย มีลักษณะสีเหลืองเข้มกว่าชนิดสกัดเย็น ถูกใช้มากเป็นน้ำมันล่อลื่น และใช้ในกระบวนผลิตอุตสาหกรรม
2. โปรตีน
เมล็ดละหุ่งมีโปรตีนประมาณ 20% ของน้ำหนักเมล็ดทั้งหมด ซึ่งมีปริมาณสูงเมื่อเทียบกับเมล็ดธัญพืชบางชนิด ชนิดโปรตีนที่พบ ได้แก่ อัลบูมิน โกลบูลิน และไรซิน (ricin) เป็นต้น โดยโปรตีนไรซินจัดเป็นสารพิษอีกชนิดที่พบ
3. สารอัลคาลอยด์
เมล็ดละหุ่งพบสารอัลคาลอยด์หลัก คือ ไรซีนีน (ricinine) ซึ่งเป็นสารพิษ พบประมาณ 0.3% ในเนื้อเมล็ด และประมาณ 1.5% ในเปลือกเมล็ด [1] อ้างถึงใน ประทุม และสมบูรณ์ (2527)
องค์ประกอบของเนื้อเมล็ด และกากละหุ่ง (%) [1]
ส่วนประกอบ | เนื้อเมล็ดละหุ่ง
(กะเทาะเปลือกแล้ว) |
กากละหุ่ง
(สกัดด้วยเอทธิล อีเธอร์) |
กากละหุ่ง
(สกัดด้วยเฮกเซน) |
วัตถุแห้ง | 93.64 | 91.90 | 92.28 |
โปรตีน | 19.06 | 38.30 | 37.49 |
น้ำมัน | 50.19 | 1.03 | 2.78 |
ใยอาหาร | 7.14 | 14.53 | 12.24 |
เถ้า | 2.57 | 5.60 | 5.47 |
สารพิษ และสารแพ้ในเมล็ดละหุ่ง
สารพบที่พบในเมล็ดละหุ่งมี 2 ชนิด คือ ไรซิน (ricin) และไรซีนีน (ricinine) ส่วนสารแพ้ ได้แก่ CB-1A
1. ไรซิน (ricin)
ไรซิน เป็นสารประกอบประเภทโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลสูง พบประมาณ 1-1.5% ในกากเมล็ดละหุ่งที่สกัดน้ำมันแล้ว จัดเป็นสารพิษรุนแรง โดยเฉพาะสัตว์เคี้ยวเอื้อง แม้จะได้รับในปริมาณน้อยก็ตาม เมื่อเข้าสู่ร่างกายสัตว์หรือมนุษย์ ไรซินจะทำให้เม็ดเลือดแดงจับรวมกัน และตกตะกอน ทั้งนี้ ความเป็นพิษจะแตกต่างกันในแต่ละชนิดของสัตว์ อาทิ สัตว์เคี้ยวเอื้องจะต้านทานพิษได้ต่ำ ขณะนกจะมีความต้านทานพิษได้สูงกว่าหลายเท่า นอกจากนั้น การได้รับพิษสะสมเป็นเวลานานจะทำให้สัตว์เบื่ออาหาร สัตว์กินอาหารได้น้อยลง อัตราการเติบโตหยุดชะงัก
2. ไรซีนีน (ricinine)
ไรซีนีน เป็นสารพิษประเภทอัลคาลอยด์ พบในกากเมล็ดละหุ่งประมาณ 0.3% แต่สารนี้ มีความเป็นพิษน้อยกว่าไรซิน แต่หากได้รับในปริมาณสูง และติดต่อเป็นเวลานานจะทำให้สัตว์หยุดการเติบโตได้เช่นกัน
3. สารแพ้ CB-1A
สารแพ้ CB-1A พบในกากเมล็ดละหุ่งประมาณ 12.5% จัดเป็นสารประเภทโปรตีนที่มีความคงทนต่อสภาพเป็นกรดได้ดี แต่ทนต่อสภาพเป็นด่างได้น้อย
ทั้งนี้ สารพิษทั้ง 2 ชนิด มีผลต่อร่างกายมนุษย์คล้ายกับสัตว์อื่นๆ คือ ทำให้เม็ดเลือดแดงตกตะกอน ทำให้เกิดภาวะเลือดจาง เบื่ออาหาร ร่างกายซูบผอม มีเลือดตะตะกอนในเส้นเลือด ไต และพบเลือดออกในอวัยวะ ร่างกายขาดออกซิเจน ความดันต่ำ เกิดภาวะเป็นลม และหมดสติ และอาจทำให้เสียชีวิตได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ส่วนสารแพ้สามารถทำลายได้ในกระบวนการผลิตด้วยการผ่านความร้อน แต่สารแพ้ CB-1A ไม่สามารถทำลายด้วยความร้อนทั้งหมดได้ และทำลายได้น้อยด้วยกรด
สารแพ้ CB-1A มีผลรุนแรงในมนุษย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิต้านทานต่อสารชนิดนี้ต่ำ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดการแพ้อย่างรุนแรง พบอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีอาการเจ็บคอ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ท้องเดิน มีอาการชัก และอาจทำให้เสียชีวิตได้
จากการศึกษาความเป็นพิษของเมล็ดละหุ่งที่ทดลองให้อาหารข้น 250 กรัม แก่แกะ และผสมกากเมล็ดละหุ่งปริมาณ 10, 20 และ30% นาน 150 วัน พบว่า แกะไม่แสดงอาการผิดปกติแต่อย่างใด แต่เมื่อผ่าพิสูจน์ซาก พบว่า มีเซลล์ตับบางส่วนตาย มีเลือดตกตะกอนในเส้นเลือด ไต และต่อมไทรอยด์ และการศึกษาให้กากเมล็ดละหุ่งแก่ปลาดุก พบว่า ปลาดุกไม่แสดงอาการผิดปกติแต่อย่างใด แต่เมื่อตรวจสอบเนื้อปลาดุก พบว่า มีการสะสมสารแพ้ CB-1A ในเนื้อเยื่อ แต่หยุดการให้ประมาณ 7 วัน จะไม่พบสารแพ้ CB-1A ในเนื้อเยื่อแต่อย่างใด ดังนั้น ปลาดุกมีความสามารถสะสม และกำจัดสารแพ้ CB-1A ออกจากร่างกายได้ภายใน 7 วัน
วิธีทำลายสารพิษ และสารแพ้ CB-1A
1. การต้มในขั้นตอนการสกัดน้ำมัน
ในขั้นตอนการสกัดน้ำมันละหุ่งด้วยการต้มเมล็ดละหุ่งในสารละลายเฮกเซน อุณหภูมิ 100 ºC นาน 1-2 ชั่วโมง จะทำลายสารไรซินได้ ส่วนสาร CB-1A จะถูกทำลายได้ด้วยการต้มที่อุณหภูมิตั้งแต่ 207 ºC นาน 125 นาที
2. การอบแห้ง
การนำเมล็ดละหุ่งมาอบแห้งที่อุณหภูมิตั้งแต่ 207 ºC นาน 125 นาที สามารถทำลายสาร CB-1A ได้ แต่เนื้อเมล็ดละหุ่งจะไหม้เกรียม
3. การต้มในสารละลายด่าง
การต้มเมล็ดละหุ่งในสารละลาย NaOH 1% อุณหภูมิ 100 ºC นาน 12-15 นาที จะช่วยลดสาร CB-1A ได้ประมาณ 97-98.4% และหากนึ่งด้วย NaOH 2% ความดัน 20 ปอนด์/ตารางนิ้ว อุณหภูมิ 302 องศาฟาเรนไฮด์ จะสามารถทำลายสาร CB-1A ได้ 100%
4. การอบไอน้ำ
การนำเมล็ดละหุ่งมานึ่งด้วยไอน้ำร้อนที่ความอัน 15 psi นาน 1 ชั่วโมง จะสามารถทำลายสารพิษ และสาร CB-1A ได้ทั้งหมด
5. การทำลายด้วยสารเคมี
การใช้สารเคมีแช่เมล็ดละหุ่ง ได้แก่ ฟอร์มาดีไฮด์ (HCHO) เข้มข้น 3% ร่วมกับกรดไฮโดรคลอริก เข้มข้น 0.9% หรือใช้ใช้ฟอร์มาดีไฮด์ (HCHO) เข้มข้น 10% ร่วมกับโซเดียมไฮดรอกไซด์ เข้มข้น 2% จะสามารถทำลายสารพิษ และสาร CB-1A ได้ทั้งหมด
สรรพคุณละหุ่ง
ละหุ่งจัดเป็นพืชมีพิษ โดยเฉพาะในเมล็ด ที่ประกอบด้วยสารพิษสำคัญ 2 ชนิด และสารทำให้แพ้ 1 ชนิด ดังนั้น จึงควรระวังที่จะนำส่วนอื่นๆของลำต้นมาใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะการรับประทานหรือต้มดื่มเป็นสมุนไพร แต่สามารถใช้เป็นสมุนไพรภายนอกได้ ทั้งนี้ จากการรวบรวมเอกสารต่างๆได้กล่าวถึงสรรพคุณของละหุ่งไว้ ดังนี้
น้ำยาง
– ใช้ทาห้ามเลือดจากแผลสด
– ใช้ทาผิวหนัง แก้อาการผดผื่นคัน หรือการระคายเคืองที่ผิวหนัง
ใบ
– นำมาต้มดื่ม แก้อาการปวดท้อง ช่วยลดไข้
– นำมาตำหรือบดขยำ ก่อนใช้ทาพอกรักษาฝี
– นำมาขยำ ก่อนใช้ทาแก้อาการผดผื่นคันหรือรักษาโรคผิวหนัง รวมไปถึงใช้ต้มน้ำอาบรักษาโรคผิวหนัง
ราก และลำต้น
– นำมาต้มดื่ม แก้อาการหอบหืด
เมล็ดละหุ่ง
– ใช้รับประทานเป็นยาถ่าย (เพราะจะได้รับสารพิษ และสารแพ้โดยตรง)
ที่มา : [5]
การปลูกละหุ่ง
การปลูกแปลงเดี่ยว
เป็นการปลูกลงแปลงเป็นผืนใหญ่ ไม่มีพืชอื่นแซม มุ่งเพื่อเก็บเมล็ดละหุ่งเป็นหลัก อาจปลูกตั้งแต่ไม่ถึงไร่จนถึงเป็นหลายสิบไร่ แต่ละพันธุ์มีระยะปลูกแตกต่างกัน พันธุ์ต้นใหญ่ (พันธุ์พื้นเมือง) ให้ปลูกห่าง พันธุ์ต้นเล็ก (พันธุ์ต่างประเทศอายุสั้น) ให้ปลูกถี่ หากปลูกในหน้าฝนจะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ หากปลูกหน้าแล้ง ให้พิจารณาแหล่งน้ำชลประทานหรือสร้างแหล่งน้ำสำรองไว้ เมื่อเก็บผลจนหมดต้นในครั้งแรก ให้ตัดต้นทิ้ง แล้วปลูกใหม่ หรือทยอยเก็บไม่เกิน 2 ปี หลังปลูก เพราะผลผลิตละหุ่งจะสูงเฉพาะปีแรก ปีต่อมาจะลดลงมาก การปลูกใหม่จะได้กำไรคุ้มค่ากว่า
การปลูกแซมพืชอื่น
1. การปลูกแซมข้าวโพด
ในช่วงการปลูกข้าวโพด ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ที่หลังการปลูกข้าวโพดแล้ว เกษตรกรจะปลูกละหุ่ง แซมในแถวข้าวโพด โดยเก็บเกี่ยวข้าวโพดประมาณเดือนพฤศจิกายน ละหุ่งจะแตกกิ่งก้านสาขา และพร้อมเก็บเกี่ยวเมล็ดต่อในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม
2. การปลูกแซมพริก
หลังการปลูกพริกแล้วประมาณ 3 เดือน เกษตรกรจะปลูกละหุ่งแซมในแปลง หลังหลังเก็บเกี่ยวพริกแล้วจึงได้ระยะเก็บเกี่ยวเมล็ดละหุ่งต่อ
การเตรียมดิน
แปลงปลูกละหุ่งแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ แต่จำเป็นต้องไถพรวนแปลง และกำจัดวัชพืช อย่างน้อย 1 รอบ
วิธีปลูก
การปลูกละหุ่ง เกษตรนิยมปลูกในต้นฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม ด้วยการหยอดเมล็ด เพราะสะดวก และรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด โดยขุดหลุมด้วยเสียมให้เป็นแถวๆ ลึกประมาณ 5-8 เซนติเมตร หรือไถคราดเป็นร่องตื้นๆแบ่งการปลูกได้ ดังนี้
– สำหรับพันธุ์พื้นเมือง เนื่องจากมีลำต้น และทรงพุ่มใหญ่ ให้ปลูกแต่ละแถวห่างกัน ประมาณ 3 เมตร แต่ละหลุมห่างกันประมาณ 2-3 เมตร ใช้เมล็ดประมาณ 0.5 กิโลกรัม/ไร่
– สำหรับพันธุ์ต่างประเทศ หรือพันธุ์อายุสั้น ให้ปลูกแต่ละหลุม และแถวห่างกัน ประมาณ 1-2 เมตร ใน 1 ไร่ ใช้เมล็ดประมาณ 2-2.5 กิโลกรัม
จากนั้น หยอดเมล็ด หลุมละ 2-3 เมล็ด ก่อนเกลี่ยหน้าดินกลบ และปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติ
การดูแล
– การถอนต้น หลังหยอดปลูกเมล็ด ประมาณ 10-15 วัน เมล็ดจะแทงต้นอ่อนให้เห็น จากนั้น ประมาณ 15-20 วัน ให้ถอนต้นกล้าที่มีขนาดเล็กหรือไม่สมบูรณ์ออก เหลือไว้ต้นที่สมบูรณ์ที่สุดเพียง 1 ต้น/หลุม
– การเด็ดยอด หากปลูกแปลงเดี่ยว เมื่อต้นละหุ่งสูงประมาณ 1ศอก ให้เด็ดยอดทิ้ง หากปลูกแซมในพืชอื่น เมื่อโต 2 ศอก ค่อยเด็ดยอดทิ้ง ทั้งนี้ ให้เด็ดยอดในช่วงเย็น ไม่ควรเด็ดช่วงสายหรือกลางวัน เพราะอากาศร้อนจะทำให้ต้นคายน้ำทางแผลมาก
– การกำจัดวัชพืช กำจัดด้วยจอบถาก ใน 1 เดือน แรกหลังปลูก ให้เริ่มกำจัดวัชพืช ต่อไป ทุกๆ 2 เดือน/ครั้ง ซึ่งอาจใช้สารกำจัดวัชพืชฉีดพ่นก็ได้
– แมลงศัตรูพืชที่สำคัญ ได้แก่ หนอนคืบ หนอนกระทู้ เพลี้ยจักจั่น และไรแดง แต่ที่พบบ่อย และทำความเสียหายมาก คือ หนอนคืบ และเพลี้ยจักจั่น เมื่อพบระบาดให้ฉีดพ่นด้วยสารกำจัดแมลงศัตรูพืช
ระยะการเติบโตละหุ่ง [6]
ระยะที่ 1 : เมล็ดเริ่มงอก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 7-18 วัน เริ่มต้นจากเมล็ดดูดน้ำจนพองบวม รากแทงออกจากเปลือกเมล็ด ลำต้นอ่อนดึงใบเลี้ยงชูขึ้นเหนือผิวดิน
ระยะที่ 2 : ใบจริงคู่แรกแตกออก ใช้เวลา 7-17 วัน
ระยะที่ 3 : ละหุ่งมีใบจริง 5-6 ใบ และตาข้างเริ่มพัฒนา
ระยะที่ 4 : เนื้อเยื่อตายอดพัฒนากลายเป็นตาดอก ใช้เวลา 7-18 วัน
ระยะที่ 5 : เนื้อเยื่อตาดอกเริ่มเจริญ และพัฒนา ใช้เวลา 10-17 วัน
ระยะที่ 6 : การพัฒนาของเนื้อเยื่อเกสร และรังไข่
ระยะที่ 7 : การเติบโตของช่อดอก
ระยะที่ 8 : ช่อดอกเจริญพ้นใบที่ห่อหุ้ม ละอองเกสรแบ่งตัวออกเป็น 2 ลอน
ระยะที่ 9 : ดอกบาน และผสมเกสร
ระยะที่ 10 : การพัฒนาของผลและเมล็ด
ระยะที่ 11 : เมล็ดเริ่มแก่ ใช้เวลา 12-16 วัน
ระยะที่ 12 : เมล็ดแก่ทั้งช่อ ใช้เวลา 14-18 วัน
การเก็บเมล็ดละหุ่ง
เมล็ดละหุ่งพันธุ์พื้นเมืองบางพันธุ์ เมื่อแก่เมล็ดจะปริแตก และร่วงลงดิน ทำให้เมล็ดเสีย แต่พันธุ์พื้นเมืองบางพันธุ์ เมล็ดไม่ปริแตก และไม่ร่วงง่ายทั้งที่แก่แล้ว ได้แก่ พันธุ์ลายขาวดำ ส่วนพันธุ์ต่างประเทศ เป็นพันธุ์อายุสั้น ลำต้นเป็นทรงพุ่มเตี้ย อายุเริ่มเก็บเมล็ดประมาณ 4-6 เดือน เมื่อแก่ เปลือกผลจะไม่ปริแตก ทำให้เก็บบนต้นได้ แม้ผลแก่จนแห้งก็ตาม
หลังจากเก็บผลละหุ่งแล้ว นำช่อผลละหุ่งมาตากแดด 2-3 แดด ให้แห้ง จากนั้น ให้เด็ดผลละหุ่งออกจากช่อ แล้ววางบนแผ่นไม้หรือลานปูน ก่อนใช้ไม้แผ่นตีหรือกดเบาที่ผล ผลก็จะปริแตก แยกเมล็ดออกมา
ขอบคุณภาพจาก kasetporpeang.com/
เอกสารอ้างอิง
[1] อรประพิมพ์ จันทร์นวล, 2534, การใช้กากละหุ่งขจัดสารแพ้แทนกากถั่วเหลือง-
เป็นอาหารเสริมโปรตีนสำหรับสุกรระยะเจริญเติบโต.
[2] ยอดชาย เพชรัตนกูล, 2540, การประเมินสมรรถนะการผสมระหว่างละหุ่ง-
ต่างประเทศ 8 สายพันธุ์ แบบพบกันหมดในสองสถานที่.
[3] เรวัต เลิศฤทัยโยธิน, 2541, ละหุ่ง, พฤกษศาสตร์พืชเศรษฐกิจ.
[4] อานนท์ เที่ยงตรง, 2547, การศึกษาสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตและน้ำมันสูง-
จากลูกผสมระหว่างพันธุ์ไทยกับพันธุ์อิสราเอล-
ของละหุ่ง (Ricinus communis L.)
[5] นันทวัน บุณยะประภัศร, 2539, สมุนไพรไม้พื้นบ้าน.
[6] อารีย์ วรัญญูวัฒน์, 2544, ถั่วเหลือง ถั่วลิสง และละหุ่ง.