Last Updated on 22 พฤศจิกายน 2022 by puechkaset
ข้าวเหนียวดำ หรือ ข้าวก่ำ (Black sticky rice) ถือเป็นข้าวที่ถูกลืม เพราะไม่นิยมรับประทานเป็นข้าวหลักเหมือนกับข้าวเหนียวขาว และข้าวจ้าว เพราะเมล็ดข้าวมีสีม่วงดำ และเน้อเมล็ดค่อนข้างแข็ง เคี้ยวละเอียดยากกว่า แต่นิยมรับประทานในรูปของขนมหวานมากกว่าข้าวอื่นๆ อาทิ ข้าวเหนียวดำกะทิ ข้าวเหนียวดำใส่ถั่วดำ และใช้ทำข้าวหลาม เป็นต้น
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : Oryza sativa Linn.
• ชื่อสามัญ :
– Black glutinous rice
– Black sticky rice
• ชื่อท้องถิ่น :
ภาคกลาง และทั่วไป
– ข้าวเหนียวดำ
ภาคเหนือ และอีสาน
– ข้าวก่ำ
ถิ่นกำเนิด และการแพร่กระจาย
ข้าวเหนียวดำ มีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศเอเชีย พบแพร่กระจายทั่วเอเชีย ทั้งในประเทศไทย ลาว พม่า เวียดนาม อินเดีย ญี่ปุ่น และจีน ส่วนประเทศไทย ข้าวเหนียวดำ พบปลูกมากในภาคเหนือ และภาคอีสาน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ราก และลำต้น
รากข้าวเหนียวดำมีทั้งรากใต้ดินที่แตกจากโคนต้น และรากอากาศที่แตกออกบริเวณข้อโคนลำต้น แต่รากทำงานหลักจะเป็นรากใต้ดิน โดยระบบรากใต้ดินจะเป็นรากแขนง แตกออกเป็นกระจุกแน่นที่โคนต้น รากมีลักษณะกลม เป็นเส้นยาวสีน้ำตาล แทงดิ่งลงลึกประมาณ 20-30 เซนติเมตร แต่หากดินร่วนมากจะแทงลึกมากกว่านี้
ลำต้นข้าวเหนียวดำมีความสูงประมาณ 80-120 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะกลม เป็นข้อปล้อง และมีข้อกั้นระหว่างปล้อง มีข้อปล้องประมาณ 15-25 ปล้อง แต่ละปล้องถูกห่อหุ้มด้วยกาบใบ ด้านในกลวงเป็นช่องอากาศ ลำต้น และกาบใบที่หุ้มมีสีม่วงแดงอมเขียว หรือบางพันธุ์มีสีเขียว ยกเว้นเมล็ด และต้นกล้าหรือช่วงที่เติบโตอาจมีสีเขียว จากนั้น ค่อยเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมเขียว หรือบางพันธุ์มีลำต้นสีม่วงแดงตลอดการเติบโต
ใบ
ใบข้าวเหนียวดำออกเป็นใบเดี่ยว แตกใบที่บริเวณข้อ ใบเรียงเยื้องสลับข้างกันตามความสูงของลำต้น ประกอบด้วยกาบใบยาวที่ห่อหุ้มลำต้นไว้ ถัดมาเป็นหูใบขนาดเล็ก และถัดมาเป็นแผ่นใบ ยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตร แผ่นใบมีลักษณะบาง และเรียวยาว ปลายใบแหลม แผ่นใบสากมือ แผ่นใบมีสีม่วงแดงอมเขียว แต่บางพันธุ์มีลำต้น ใบ และส่วนอื่นสีเขียว
รวงข้าว และดอก
ข้าวเหนียวดำออกดอกเป็นช่อกระจะมีรวงข้าวทรงกลม มีลักษณะเป็นข้อปล้อง บริเวณข้อแตกแขนงก้านดอก บนก้านช่อแขนงประกอบด้วยดอกย่อยที่เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีอับเรณู 6 อัน และมีเกสรตัวเมีย 2 อัน
เมล็ด
เมล็ดข้าวเหนียวดำมีลักษณะคล้ายกับเมล็ดข้าวอื่นๆ แต่จะต่างจากข้าวอื่นๆที่เปลือกเมล็ด และส่วนอื่นในเมล็ดมีสีม่วงแดงหรือสีม่วงดำ
พันธุ์ข้าวเหนียวดำ/ข้าวก่ำ
1. ข้าวเหนียวดำลืมผัว
เป็นพันธุ์ข้าวเหนียวดำของจังหวัดเพชรบูรณ์ เปลือกด้านนอกเป็นสีฟางอมมีสีน้ำตาลอ่อน มีเยื่อหุ้มเมล็ดเป็นสีม่วงดำ เมื่อหุงจะมีกลิ่นหอม มีรสชาติอร่อย ออกดอกประมาณกลางเดือนกันยายน และเริ่มเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนตุลาคม ลำต้นสูงประมาณ 80-115 เซนติเมตร ให้ผลผลิตในช่วง 190-350 กิโลกรัม/ไร่
2. ข้าวเหนียวดำ เชียงใหม่
เป็นพันธุ์ข้าวเหนียวดำท้องถิ่นของจังหวัดเชียงใหม่ มีการคัดพันธุ์ให้เป็นพันธุ์ที่บริสุทธิ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 โดยมีการปรับปรุงพันธุ์ระหว่าง ข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 กับ ข้าวก่ำดอยสะเก็ด เมื่อข้าวหุงสุก ข้าวจะมีลักษณะนุ่ม หรือหากเย็นแล้วก็ยังนุ่มเหมือนเดิม เยื่อหุ้มเมล็ดเป็นสีม่วงดำสนิท ไม่มีสีอื่นปน ออกดอกประมาณเดือนกันยายน และเริ่มเก็บเกี่ยวประมาณเดือนพฤศจิกายน ลำต้นสูงประมาณ 143 เซนติเมตร ให้ผลผลิตประมาณ 680 กิโลกรัม/ไร่
3. ข้าวเหนียวดำ พะเยา
เป็นพันธุ์ข้าวเหนียวดำท้องถิ่นของจังหวัดพะเยา และเป็นข้าวเหนียวไวแสง (ข้าวนาปี) เปลือกข้าวด้านนอก (แกลบ) มีสีออกม่วงดำ เยื่อหุ้มเมล็ดมีสีม่วงอมแดง เมล็ดค่อนข้างสั้น และป้อมกว่าข้าวเหนียวดำพันธุ์อื่น ออกดอกประมาณเดือนกันยายน และเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน
ประโยชน์ข้าวเหนียวดำ/ข้าวก่ำ
1. ข้าวเหนียวดำนึ่งรับประทานคล้ายกับข้าวเหนียวขาว แต่คุณภาพเนื้อสัมผัสจะแข็งกว่าจึงไม่นิยมรับประทานมากนัก
2. เนื่องจากไม่นิยมรับประทานเป็นข้าวเหมือนกับข้าวเหนียวขาว จึงนิยมนึ่งสำหรับทำขนมหวาน อาทิ ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ ข้าวเหนียวดำกับถั่วดำ และข้าวหลาม เป็นต้น
3. ข้าวเหนียวดำนึ่งนำมาหมักทำไวน์ หมักทำสาโท น้ำไวน์หรือน้ำสาโทที่ได้มีสีม่วงดำ
4. ข้าวเหนียวดำนำมาสกัดสารแอนโทไซยานินส์สำหรับใช้เป็นสีผสมอาหาร ใช้ในทางการแพทย์ และเป็นส่วนผสมของอาหารเสริม
คุณค่าทางโภชนาการข้าวเหนียวดำ (เมล็ด 100 กรัม) [3]
Proximates | ||
น้ำ | กรัม | 11.8 |
พลังงาน | กิโลแคลอรี่ | 364 |
โปรตีน | กรัม | 8.2 |
ไขมัน | กรัม | 3.0 |
คาร์โบไฮเดรต | กรัม | 76.1 |
ใยอาหาร | กรัม | 4.9 |
เถ้า | กรัม | 0.9 |
Minerals | ||
แคลเซียม | มิลลิกรัม | 26 |
ฟอสฟอรัส | มิลลิกรัม | 65 |
เหล็ก | มิลลิกรัม | 2.3 |
Vitamins | ||
ไทอะมีน | มิลลิกรัม | 0.55 |
ไรโบฟลาวิน | มิลลิกรัม | 0.29 |
ไนอะซีน | มิลลิกรัม | 0.6 |
เบต้า-แคโรทีน | มิลลิกรัม | 16.0 |
วิตามิน A | RE | 3.0 |
สารสำคัญที่พบ
1. แอนโทไซยานินส์
• Cyanidin-3-glucoside
• Cyanidine-3-O-glucopyranoside
• Peonidin-3-0-β-gluecopyranoside
• Peonidin-3-0-glucoside
2. แอนโทไซยานิดิน
• Cyanidin
• Malvidin
• polymeric procyanidin
3. สารฟีโนลิกจำพวก Anisole
• 4-hydroxycinnamic acid (p-coumaric)
• 4,7-dihydroxyvanillic acid
• Photocatechuic acid methyl ester
• Syringaldehyde
• Vanillin
4. สารฟีโนลิกจำพวก Ferulic
• Sinapinic acids sucrose esters 6’-
O-(E)-feruoylsucrose
• 6’-O-(E)-sinapoylsucrose
• Ferulic acid sterol ester
• y-Oryzanol
5. สาร Alkaloid
• 4-carbomethoxy-6-
hydroxy-2-quinolone
• Phytic acid
ที่มา : [1] อ้างถึงในเอกสารหลายฉบับ
สารเด่นในข้าวเหนียวดำ/ข้าวก่ำ
1. แอนโธไซยานิน (anthocyanin)
ข้าวเหนียวดำมีลักษณะเด่น คือ ผิวด้านนอกของเมล็ดที่เป็นเยื่อหุ้มเมล็ดจะมีสีดำหรือแดงก่ำ ซึ่งมาจากสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แอนโธไซยานิน (anthocyanin) สารชนิดนี้พบทั้งในส่วนของลำต้น กาบใบ แผ่นใบ และช่อดอก รวมถึงเมล็ด แต่พบในในส่วนของคัพภะที่แตกเป็นยอดอ่อน
แอนโธไซยานิน เป็นรงควัตถุที่ให้แสงสีแดง สีน้ำเงิน หรือสีม่วง พบได้ทั่วไปในพืชผักหลายชนิดที่มีสีแดง หรือ สีม่วง รวมทั้งข้าวเหนียวดำด้วย สารชนิดนี้เป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีโครงสร้างเป็นแบบ C6-C3-C6 ซึ่งเป็นอนุพันธุ์ของสาร 2-Phenylbenzopyrylium มีโครงสร้างประกอบด้วยสารอะไกลโคน (aglycone) ที่จับกับโมเลกุลของน้ำตาลด้วยพันธะเบต้า ไกลโคซิดิก (β-Glycosidic) ทั้งนี้ ในธรรมชาติจะพบแอนโธไซยานินมากกว่า 15 ชนิด ซึ่งมีความแตกต่างกันที่ตำแหน่งของหมู่ไฮดรอกซิล และหมู่เมทอกซิล [2] อ้างถึงใน Markakis (1982) และพบมากในพืช 6 ชนิด คือ [4] อ้างถึงใน Horbowicz และคณะ ( 2008)
1. เพลาร์โกนิดิน (Pelargonidin)
2. ไซยานินดิน (Cyanidin)
3. เดลฟินิดิน (Delphinidin)
4. พีโอนิดิน (Peonidin)
5. พิตูนิดิน (Petunidin)
6. มัลวิดิน (Malvidin)
2. โอไรซานอล (Oryzanol) [6]
ในยุคแรกๆมีความเชื่อว่า สารโอไรซานอล เป็นสารเดี่ยว ต่อมาได้มีการศึกษาจนพบว่า ประกอบด้วยสารผสมระหว่างกรดเฟอรูลิค (ferulic acid) กับสารสเตอรอล (sterols) หรือที่เรียก ไตรเทอร์พีนแอลกอฮอล์ (triterpene alcolhols) ด้วยพันธะเอสเทอร์ โดยสารโอไรซานอล แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่
1. แอลฟ่า-โอไรซานอล (α-Oryzanol)
2. เบต้า-โอไรซานอล (β-Oryzanol)
3. แกมม่า-โอไรซานอล (y-Oryzanol) เป็นชนิดที่พบมากที่สุด
สรรพคุณข้าวเหนียวดำ/ข้าวก่ำ
– สมัยก่อนหญิงไทยที่มีการตกเลือดหลังคลอดลูกจะใช้ต้นข้าวเหนียวดำหรือข้าวก่ำมาต้มกับใบชาดื่มแก้อาการตกเลือด
– วิตามินอีในข้าวเหนียวดำช่วยบำรุงสายตา ช่วยบำรุงผิว ลดรอยด่างดำ ลดรอยหยาบกร้าน
• แกมมาโอไรซานอล
– ต้านเซลล์มะเร็ง
– ลดการดูดซึมคอเลสเตอรอล
– ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
– ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความหยาบกร้านของผิวหนัง ช่วยสารชะลอความแก่
– ช่วยเสริมภูมิต้านทานแก่ร่างกาย
– ช่วยลดอาการผิดปกติของวัยทอง
– ช่วยต้านอาการอักเสบ
– ป้องกันโรคหัวใจ และโรคของหลอดเลือด
• สารแอนโทไซยานิน
– ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล
– ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
– ใช้รักษาโรคอ้วน
– ช่วยปรับความดันเลือดให้เป็นปกติ
– ช่วยลดไขมันอุดตันในเส้นเลือด
– ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด
– ป้องกันโรคความจำเสื่อม
– ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่
– ช่วยลดการอักเสบ
– ช่วยป้องกันผิวหนังจากรังสียูวี ช่วยลดเลือนริ้วรอยของผิวหนัง และทำให้ผิวพรรณผ่องใส
• ต่างประเทศ
– ประเทศจีน และไต้หวันใช้ข้าวสีดำมาต้มรับประทานเพื่อรักษาโรคตับอักเสบ
– ประเทศอินเดียนำข้าวมาต้มน้ำดื่มหรือรับประทานเมล็ดข้าวต้ม เพื่อรักษาโรคดีซ่าน รักษาโรคไทรอยด์
– ประเทศอิหร่านรับประทานข้าวต้ม เพื่อรักษาโรคลำไส้อักเสบ และใช้น้ำข้าวต้มสวนทวารเพื่อรักษาโรคท้องร่วง
– ประเทศเม็กซิโก ใช้เมล็ดข้าวรักษาอาการท้องร่วง
– ประเทศญี่ปุ่น รับประทานข้าวสีดำเพื่อบำรุงร่างกาย
ที่มา : [4] อ้างถึงกรมการข้าว (2555), [5] อ้างถึงในเอกสารหลายฉบับ
การปลูกข้าวเหนียวดำ/ข้าวก่ำ
ข้าวเหนียวดำ มีทั้งพันธุ์ไวแสง (พันธุ์ปลูกนาปี) และไม่ไวแสง (พันธุ์ปลูกนาปัง) แต่ที่นิยมปลูกมากจะเป็นพันธุ์ไวต่อช่วงแสงที่ปลูกพร้อมกับข้าวนาปีชนิดอื่น นอกจากนั้น พันธุ์ข้าวก่ำยังมีทั้งชนิดที่ปลูกเป็นข้าวไร่หรือเรียกข้าวเหนียวดำไร่ มีลักษณะเด่นที่มีสีม่วงดำเฉพาะเมล็ด ส่วนอื่นมีสีเขียว และข้าวในแปลงนา หรือเรียก ข้าวเหนียวดำนา หรือข้าวก่ำล้วน มีลักษณะเด่นที่มีสีม่วงดำบริเวณส่วนอื่นด้วย พันธุ์ข้าวเหนียวดำ เป็นข้าวที่ทนต่อความเค็ม ทนต่อความแห้งแล้ง ต้านทานต่อโรค และแมลงศัตรูพืชได้ดี
ทั้งนี้ การปลูกข้าวเหนียวดำไม่นิยมปลูกมากนัก เพราะไม่ใช่ข้าวหลักเหมือนกับข้าวเหนียวขาวหรือข้าวเจ้า จึงปลูกเพียงไม่กี่แปลงแซมข้าวหลัก เพียงเพื่อจำหน่ายหรือรับประทานเอง
การเตรียมแปลง และหว่านกล้า
หลังการเก็บเกี่ยวข้าวจนมาถึงประมาณปลายเดือนเมษายน-ปลายเดือนพฤษภาคม ให้ไถกลบตอซัง และหน้าดินทิ้งไว้
สำหรับการหว่านกล้านิยมหว่านในช่วงต้นฤดูฝน ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน โดยหลังจากไถกลบแล้ว 1 รอบ ก่อนหว่านกล้าให้หว่านโรยด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 12-6-6 อัตรา 10-15 กิโลกรัม/ไร่ หรือสูตร 15-15-15 อัตรา 5-10 กิโลกรัม/ไร่ ผสมกับปุ๋ยยูเรีย อัตรา 5 กิโลกรัม/ไร่ จากนั้น หว่านเมล็ดพันธุ์ และไถกลบเพียงตื้นๆ แล้วปล่อยให้กล้าเติบโตตามธรรมชาติ แต่หากระยะฝนทิ้งช่วง หากมีแหล่งน้ำให้สูบน้ำเติมแปลงจะดีที่สุด
การปลูกแบบหว่านเมล็ด
หลังจากไถกลบหน้าดินเตรียมไว้แล้ว ประมาณปลายเดือนมิถุนายน-ปลายเดือนกรกฎาคม ให้หว่านด้วยปุ๋ยคอก อัตรา 2 ตัน/ไร่ และปุ๋ยเคมีสูตร 12-6-6 หรือ 15-15-15 อัตรา 10 กิโลกรัม/ไร่ ก่อนหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว อัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ พร้อมไถกลบตื้นๆ
การปลูกแบบปักดำกล้า
เมื่อถึงช่วงฤดูฝน หลังที่ฝนตกจนมีน้ำขังในแปลงนา และต้นกล้าพร้อมปักดำหลังหว่านกล้า 2-3 เดือน หรือต้นกล้าสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร ให้ไถกลบแปลงนาให้ลึก ก่อนนำกล้ามาปักดำ ระยะปักดำที่ 25-30 x 25-30 เซนติเมตร ทั้งนี้ ก่อนปักดำให้ตัดยอดกล้าทิ้งประมาณ 5 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับความยาวของมัดกล้า
สำหรับต้นกล้า ให้ถอนต้นกล้าเตรียมไว้ก่อนปักดำไม่เกิน 2 วัน ไม่ควรนานกว่านี้ เพราะราก และโคนต้นกล้าจะแข็ง และใบจะเริ่มเหลือง หากนำไปปักดำจะติดยาก หรือติดจะเติบโตไม่ดี ลำต้นแคระแกรน
การใส่ปุ๋ย
หลังต้นข้าวเติบโต และตั้งต้นได้ ประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายน ให้หว่านด้วยปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 10 กิโลกรัม/ไร่ หลังจากนั้น ประมาณต้นเดือนตุลาคม ก่อนข้าวตั้งครรภ์ ให้หว่านด้วยปุ๋ยสูตร 12-12-24 อัตรา 10 กิโลกรัม/ไร่เช่นกัน
การเก็บเกี่ยว
ข้าวเหนียวดำไวแสงที่ปลูกในนาปีจะมีช่วงเก็บเกี่ยวเหมือนกับข้าวนาปีอื่นๆ คือ ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอาจใช้เคียวเกี่ยว ก่อนนำมาฟาดแยกเมล็ดหรือใช้รถเกี่ยวข้าว
ขอบคุณภาพจาก kasetloongkim.com/, bankaset-foodfarm.com/, baanmaha.com/, bloggang.com
เอกสารอ้างอิง
[1] อฑิตยา โรจนสโรช, 2551, สารต้านอนุมูลอิสระในข้าวดำ ข้าวเหนียวดำ-
และข้าวแดง: การป้องกันการเป็นพิษต่อเซลล์-
และสารพันธุกรรมจากอนุมูลอิสระและ-
การแสดงออกของยีนสะสมไขมันในเซลล์เพาะเลี้ยง.
[2] อาหมัด หีมหมัน, 2556, การพัฒนาสบู่เหลวบำรุงผิวที่มีส่วนผสม-
ของสารสกัดจากข้าวเหนียวดำ.
[3] กองโภชนาการ กรมอนามัย, 2545, ตารางแสดงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.
[4] กฤษชนก ศุขเกษม, 2556, ผลกระทบของการแช่ข้าวเหนียวดำต่อ-
คุณค่าทางโภชนาการและสมบัติด้าน-
เนื้อสัมผัสของข้าวเหนียวดำสุก.
[5] กฤษดา กาวีวงศ์, 2557, การทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากข้าวเหนียวดำ.
[6] บุษบัน ศิริธัญญาลักษณ์, 2553, การประเมินฤทธิ์ต้านการอักเสบของ-
สารสกัดแกมม่า-โอไรซานอลจากรำข้าวก่ำไทย.