Last Updated on 4 เมษายน 2017 by puechkaset
สะตอ (Twisted cluster bean) เป็นไม้ตะกูลถั่วที่ชาวใต้นิยมปลูก และนำเมล็ดมาประกอบอาหาร โดยเฉพาะเมนูผัดต่างๆ รวมถึงนิยมรับประทานกับน้ำพริกเป็นหลัก ทั้งนี้ ราคาสะตอในปัจจุบันประมาณ 200-400 บาท/100 ฝัก ขึ้นกับฤดูว่ามีฝักสะตอออกสู่ตลาดมากน้อยเพียงใด
• วงศ์ : Leguminosae
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : Parkia speciosa Hassk.
• ชื่อสามัญ :
– Bitter bean
– Twisted cluster bean
– Stink bean
• ชื่อท้องถิ่น :
– สะตอ (ภาคกลาง และภาคใต้)
– ปะตา, ปัตเต๊าะ (จังหวัดชายแดนภาคใต้)
– ปาไต (สตูล)
– ตอ (ระนอง)
• ถิ่นกำเนิด : ภาคใต้ของไทย พม่าตอนล่าง มาเลเชีย และอินโดนีเชีย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น
สะตอเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ มีลำต้นสูงได้มากถึง 30 เมตร โคนต้นเป็นพูพอน รูปทรงลำต้นเพราตรง เปลือกลำต้นมีสีน้ำตาล ผิวเปลือกแตกสะเก็ดขนาดเล็กหรือเป็นร่องตื้นๆขนาดเล็ก ลำต้นแตกกิ่งค่อนข้างน้อยจึงแลดูเป็นทรงพุ่มโปร่ง กิ่งแตกมากบริเวณเรือนยอด
ใบ
ใบสะตอเป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น คือ มีก้านใบหลักยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร ที่ประกอบด้วยก้านใบย่อย 14-24 คู่ แต่ละก้านใบย่อยยาวประมาณ 2.2-6 เซนติเมตร มีใบย่อยเรียงตรงข้ามกัน 30-38 คู่ ใบย่อยมีลักษณะเป็นขอบขนาน สีเขียวสดถึงเขียวเข้มตามอายุใบ แผ่นใบเรียบ ปลายใบมน มีติ่งเล็กตรงกลางของปลายใบ
ดอก
ดอกสะตอออกดอกเป็นช่อ ยาว 30-50 เซนติเมตร ขนาดช่อ 0.5-1 เซนติเมตร ส่วนดอกจะยาว 5-7 เซนติเมตร ขนาดดอก 2-4 เซนติเมตร ดอกประกอบด้วยกลีบดอกที่มีลักษณะเป็นหลอดเรียงติดกันในแนวตั้ง โคนดอกเป็นเกสรตัวผู้ ส่วนถัดมาเป็นเกสรชนิดสมบูรณ์เพศ ดอกจะเริ่มออกประมาณเดือนเมษายน และอีกประมาณ 70 วัน ก็สามารถเก็บฝักได้ และจะให้ฝักต่อเนื่องจนถึงอายุ 15-20 ปี
ผล และเมล็ด
ผลสะตอมักเรียกว่า ฝัก ที่มีลักษณะแบน มีทั้งชนิดที่เป็นฝักบิดเป็นเกลียว และชนิดที่แบนตรง ฝักยาวประมาณ 25-45 เซนติเมตร กว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร เปลือกฝักอ่อนมีสีเขียว และค่อยเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแก่ ตรงกลางฝักเป็นที่อยู่ของเมล็ดที่เรียงซ้อนกันเป็นตุ่มนูน เมล็ดมีลักษณะคล้ายหัวแม่มือ หรือรูปรีค่อนข้างกลม ขนาดเมล็ดทั่วไป กว้างประมาณ 2.2-2.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร เมล็ดอ่อนมีสีเขียว ให้รสหวานมัน และมีกลิ่นฉุน และเมื่อแก่จะเริ่มเหลือง และดำในที่สุด ทั้งนี้ สะตอจะให้ฝักมากในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
พันธุ์สะตอ
พันธุ์สะตอที่นิยมรับประทานมี 2 พันธุ์ คือ สะตอข้าว และสะตอดาน แต่แบ่งได้ 3 พันธุ์ คือ
1. สะตอข้าว (Figure 1A)
สะตอข้าวมีลักษณะเด่น คือ ฝักบิดเป็นเกลียว อาจเป็นฝักสั้นหรือยาว ความยาวฝักประมาณ 30-35 เซนติเมตร และกว้างประมาณ 3.5-4 เซนติเมตร แต่ละช่อมีฝักประมาณ 5-20 ฝัก แต่ละฝักมีจำนวนเมล็ด 10-20 เมล็ด/ฝัก เนื้อ เมล็ดมีกลิ่นไม่ฉุนมาก เนื้อกรอบ ไม่แข็ง ให้รสหวานมัน หลังจากปลูก 3-5 ปี จึงเริ่มติดฝัก
2. สะตอดาน (Figure 1B)
สะตอดานมีลักษณะเด่น คือ ฝักจะค่อนข้างแบน และตรง ไม่บิดเป็นเกลียวเหมือนสะตอข้าว ฝักยาวประมาณ 30-35 เซนติเมตร กว้างประมาณ 3.8-4.2 เซนติเมตร แต่ละช่อมีฝักประมาณ 5-15 ฝัก จำนวนเมล็ดต่อฝัก 10-20 เมล็ด เนื้อเมล็ดมีกลิ่นค่อนข้างฉุน และฉุนมากกว่าสะตอข้าว รวมถึงเนื้อเมล็ดมีรสเผ็ด เนื้อค่อนข้างแน่นแน่นมากกว่าสะตอข้าว หลังปลูกแล้ว 5-7 ปี จึงเริ่มติดฝัก
3. สะตอแตหรือสะตอป่า
สะตอแตหรือสะตอป่า เป็นสะตอที่พบได้ในป่าลึก ไม่ค่อยพบตามสวนหรือตามบ้านเรือน เพราะไม่นิยมปลูก แต่เชื่อว่าเป็นพันธุ์สะตอดั้งเดิมของสะตอข้าว และสะตอดาน ฝักมีลักษณะ เล็ก และสั้น เนื้อเมล็ดค่อนข้างแข็ง เนื้อให้รสไม่อร่อย
ลักษณะ |
สะตอข้าว |
สะตอดาน |
1. ทรงพุ่ม | ขนาดกลาง | ค่อนข้างใหญ่ |
2. อายุเริ่มออกผล | 3-5 ปี | 5-7 ปี |
3. จำนวนฝักต่อช่อ | 5-20 ฝัก | 5-15 ฝัก |
4. ขนาดฝัก | ฝักยาว 30-35 เซนติเมตร และกว้าง 3.5-4 เซนติเมตร | ฝักยาว 30-35 เซนติเมตร และกว้าง 3.8-4.2 เซนติเมตร |
5. ลักษณะฝัก | ฝักเป็นเกลียว และเมล็ดขยายชิดขอบฝัก | ไม่บิดเป็นเกลียวหรือบิดน้อยมาก และเมล็ดห่างขอบฝัก |
6. สีของฝัก/เนื้อฝัก | สีเขียวอ่อน เนื้อเมล็ดนิ่ม | สีเขียวแก่ เนื้อเมล็ดค่อนข้างแข็งกระด้าง |
7. จำนวนเมล็ดต่อฝัก | 10-20 เมล็ด/ฝัก | 10-20 เมล็ด/ฝัก |
8. ขนาดเมล็ด | ค่อนข้างเล็ก | ใหญ่ |
9. ลักษณะเมล็ด | ค่อนข้างเรียบ | มีลักษณะย่น |
10. ช่องว่างเมล็ด | น้อย | มาก |
11. ความแน่นเนื้อเมล็ด | นิ่ม ไม่ค่อนแน่น | เนื้อแน่น ค่อนข้างแข็ง |
12. กลิ่น | ไม่ค่อยฉุน | ฉุนถึงฉุนจัด |
13. รสชาติ | ให้รสมัน หวาน | ให้รสมันเล็กน้อย และเผ็ดร้อน |
ประโยชน์ของสะตอ
1. เมล็ดสะตอนิยมนำมาประกอบอาหาร โดยเฉพาะเมนูผัดต่างๆ รวมถึงใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริก
2. สะตอนอกจากปลูกไว้สำหรับนำเมล็ดมาประกอบอาหารแล้วยังช่วยเป็นร่มเงาได้ด้วย และที่สำคัญเป็นไม้ที่สร้างรายได้งามของชาวสวนในภาคใต้
3. เมล็ดใช้ผสมกับผักหรือเศษอาหารสำหรับเลี้ยงสัตว์ เช่น การเลี้ยงสุกร
คุณค่าทางโภชนาการของสะตอ (เมล็ดสะตอ 100 กรัม)
– พลังงาน 130.00 กิโลแครอรี่
– น้ำ 70.70 กรัม
– คาร์โฐไฮเดรต 15.50 กรัม
– โปรตีน 8.00 กรัม
– ไขมัน 4.00 กรัม
– เส้นใย 0.50 กรัม
– เถ้า 1.30 กรัม
– แคลเซียม 76.00 มิลลิกรัม
– ฟอสฟอรัส 83.00 มิลลิกรัม
– เหล็ก 0.70 มิลลิกรัม
– วิตามินเอ 9.00 I.U.
– วิตามินบี1 0.10 มิลลิกรัม
– วิตามินบี2 0.01 มิลลิกรัม
– วิตามินซี 6.00 มิลลิกรัม
– Niacin 1.00 mg
ที่มา : กองโภชนาการ กรมอนามัย (2535)
สาระสำคัญที่พบ
เมล็ดสะตอ
1. กรดอะมิโน และสารประกอบไกลโคโปรตีน ได้แก่
– dichrostachnic acid
– djenkolic acid
– thaizolidine-4-carboxylic acid
– glycine,
– aspartic acid,
– isoleucine
– serine
– methionine
– cystein
2. สารประกอบซัลเฟอร์ ได้แก่
– 1-2-4-5-7-8 hexathionane
– 1-2-3-5-6 pentatgiepane
– 1-2-4 tetrathiepane
– trithiolane
3. สารประกอบ steroidal ได้แก่
– β-sitosterol
– stigmasterol
เปลือกฝักสะตอ
เปลือกฝักพบสารในกลุ่ม steroidal ได้แก่ stigmast-4-en-3-one
สรรพคุณสะตอ และฤทธิ์ทางเภสัชกรรม
1. ฤทธิ์ต่อการแบ่งตัวของเซลล์เม็ดเลือดขาว สารที่ออกฤทธิ์ คือ สารเลคติน ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
2. ฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา และแบคทีเรีย สารที่ออกฤทธิ์ ได้แก่ สารในกลุ่ม polysulfides
3. ฤทธิ์กระตุ้นการเกาะกลุ่มของเม็ดเลือดแดง (heamaglutination) สารที่ออกฤทธิ์ คือ สารเลคติน
4. ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะสาร β-sitosterol และstigmasterol ที่ออกฤทธิ์ลดในตาลในเลือดได้ดี
5. ฤทธิ์กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวของลำไส้ ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว และช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
เพิ่มเติมจาก 1)
กลิ่นของสะตอ
กลิ่นฉุนของสะตอเกิดจากสารในกลุ่ม polysulfides ที่มีซัลเฟอร์เป็นแหล่งที่ทำให้เกิดกลิ่น โดยเมล็ดสะตออ่อนจะมีสารประกอบของซัลเฟอร์น้อยกว่าเมล็ดมะตอแก่จึงทำให้มีกลิ่นฉุนน้อยกว่า
คุณภาพฝัก และเมล็ดสะตอที่ดี
1. ฝักมีขนาดใหญ่ เมล็ดนูนเด่น เรียงติดกันสม่ำเสมอ และให้เมล็ดจำนวนมาก
2. เปลือกฝักเกลี้ยง มีสีเขียวสดสม่ำเสมอทั่วฝัก
3. เปลือกฝักแข็ง ไม่นิ่มหรืออ่อนตัวง่าย
4. รูปร่างเมล็ดคล้ายกับหัวแม่มือ ผิวเมล็ดเต่งตึง มีสีเขียวอ่อน
5. เนื้อเมล็ดไม่แข็ง มีกลิ่นฉุน และให้รสหวานมันตามพันธุ์
ฝักสะตอหลังจากเก็บมาจากต้นแล้วจะสามารถวางจำหน่ายหรือเก็บได้ประมาณ 3-4 วัน ด้วยการฉีดพรมน้ำ แต่หากไม่ฉีดพรมน้ำจะเก็บได้ประมาณ 2-3 วัน หลังจากนั้น เปลือกฝักจะค่อยๆซีด และเป็นสีเหลืองมากขึ้น พร้อมๆกับค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ ส่วนเมล็ดเมล็ดด้านในจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเหลือง และดำในที่สุด แต่สำหรับฝักที่อ่อนมาก หากเก็บไว้นาน ฝักจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ ทั้งนี้ เพื่อยืดอายุการเก็บ เกษตรกรบางราย มักนำฝักสะตอมาเคลือบด้วยสารคาร์นูบาแว็กซ์ ที่ความเข้มข้นร้อยละ 4 โดยน้ำหนัก ก่อนบรรจุถุงจำหน่าย
การปลูกสะตอ
การปลูกสะตอนิยมปลูกด้วยการเพาะเมล็ด โดยมีลักษณะการปลูกที่นิยมปลูกแซมกับพืชอื่น เช่น ปลูกแซมในสวนปาล์ม สวนยาง เป็นต้น ส่วนระยะปลูกระหว่างต้นในแนวแถวเดียวกันที่ 10-12 x 10-12 เมตร และหากปลูกหลายแถวจะมีระยะระหว่างแถวเท่ากันในระยะเท่ากัน ซึ่ง 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 11-16 ต้น
การเก็บสะตอจะเริ่มเก็บฝักได้ในช่วงเดือน วิธีเก็บด้วยการใช้ไม้สอยหรือปีนต้นเก็บด้วยการใช้มือหรือใช้ไม้สอย (ไม้สอยนิยมทำจากไม้ไผ่) นอกจากนั้น เกษตรกรบางรายนิยมใช้กรรไกรตัดกิ่งผู้ติดไว้ปลายไม้ และผูกเชือกโยงสำหรับดึงตัดขั้วฝักด้านล่าง
เอกสารอ้างอิง