Last Updated on 21 พฤศจิกายน 2022 by puechkaset
ปวยเล้ง หรือ ปวยเหล็ง (Spinach) เป็นผักที่นิยมรับประทานมากในจีน และประเทศในยุโรป รวมถึงในในแถบเอเชียกลาง และสหรัฐอเมริกา เนื่องจาก ใบ และลำต้นสดมีความกรอบ เมื่อปรุงอาหารจะมีความนุ่ม และหวาน ไม่มีเสี้ยน รวมถึงเป็นผักที่มีอายุสั้น ใช้เวลาการปลูกสั้น ประมาณ 30-45 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้
• วงศ์ : Chenopodiaceae
• ชื่อสามัญ : spinach
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : spinacin oleraces Linn.
• ชื่อท้องถิ่น :
– ปวยเล้ง
– ปวยเหล็ง
ถิ่นกำเนิด และการแพร่กระจาย
หลักฐานทางพฤกษศาสตร์ยืนยันว่า ปวยเล้ง มีถิ่นกำเนิดในประเทศแถบเปอร์เซีย หรืออีหร่านในปัจจุบัน ซึ่งคนท้องถิ่น เรียกว่า แอสปานัคห์(aspanakh) ที่นิยมรับประทานกันมาก ถึงขนานนามว่า “เจ้าชายแห่งผัก”
ปวยเล้ง ในเอเชียได้เริ่มแพร่เข้ามาในประเทศเนปาล และต่อมาจึงแพร่เข้าสู่ประเทศจีน ซึ่งเป็นผักที่รู้จัก และนิยมรับประทานมาตั้งแต่สมัยราชวงค์ถัง หรือในช่วงปี ค.ศ. 647 โดยกษัตริย์แห่งเนปาล ได้นำปวยเล้งเข้ามาถวายแก่จักรพรรดิจีน ต่อมาจึงนิยมรับประทาน และปลูกมากขึ้นจนเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ คำว่า “ ปวยเล้ง “ หรือ poh ts, ai เป็นคำเรียกภาษาจีน แปลว่า ผักจากเปอร์เซีย
ในสมัยที่นกรบชาวเปอร์เซียยกทัพไปบุกสเปนในศตวรรษที่ 11 ได้นำปวยเล้งเป็นเสบียงอาหารในยามสู้รบ และปวยเล้งได้แพร่เข้ายุโรปในช่วงศตวรรษที่ 14 ผ่านทางประเทศสเปน และมีการเรียกชื่อในภาษาละตินว่า spinachia ส่วนภาษาอังกฤษใช้เรียกว่า spinach
ปวยเล้งในประเทศตะวันตกในช่วงแรกยังไม่นิยมมากนัก แต่เมื่อมีการผลิตการ์ตูน Popeye the Sailor ในปี ค.ศ. 1929 ซึ่งมีการเผยแพร่ผักปวยเล้ง ในระยะหนึ่ง จึงทำให้ปวยเล้ง เป็นผักที่นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กๆชาวอเมริกัน [1] อ้างถึงใน ทวีทอง (2545)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ลำต้น
ปวยเล้ง เป็นพืชล้มลุก มีลำต้นสั้น แตกใบเวียนล้อมรอบลำต้น สูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร ส่วนระบบรากประกอบด้วยรากแก้ว และแตกรากฝอยออกด้านข้าง โคนต้น และโคนรากมักมีสีชมพู
ใบ
ใบ ออกเป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนล้อมรอบลำต้น ใบประกอบด้วยก้านใบเรียวยาว ยาวประมาณ 15-30 เซนติเมตร ก้านใบด้านล่างมน ก้านใบด้านบนเว้าเป็นร่องตรงกลาง ถัดมาเป็นแผ่นใบ มีลักษณะรูปไข่ กว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร แผ่นใบ และขอบใบมีทั้งชนิดหยักย่น และเรียบ แผ่นใบมีขนาดใหญ่ แผ่นใบค่อนข้างหนา มีสีเขียวเข้ม และเป็นมัน ใต้แผ่นใบมีขนอ่อนปกคลุม
ดอก
ปวยเล้ง ออกเป็นช่อตรงกลางของลำต้น ดอกปวยเล้งเป็นดอกแยกเพศ มีทั้งดอกสมบูรณ์เพศ ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น และดอกแยกเพสแต่อยู่บนต้นเดียวกัน แต่ส่วนมากการผสมเกสรจะเกิดแบบผสมข้ามดอก เพราะดอกสมบูรณ์เพศจะมีเกสรตัวผู้ที่แก่เร็วกว่าเกสรตัวเมีย ทำให้ผสมเกสรในดอกเดียวกันไม่ทัน
เมล็ด
เมล็ดปวยเล้งมี 2 ลักษณะ คือ เมล็ดกลม ที่เป็นพันธุ์ปลูกมากในแถบพื้นที่อากาศหนาว และเมล็ดหนาม ที่เป็นพันธุ์ปลูกมากในในประเทศอบอุ่น [2]
ขอบคุณภาพจาก สวนนิลละไมนานาพันธุ์พืชสวน
ชนิดปวยเล้ง/ปวยเหล็ง
1. ชนิดใบเรียบ (Smooth leaf) ได้แก่
– พันธุ์ Hybrid 424
– พันธุ์ Viroflay
2. ชนิดใยย่น (Savoy leaf) ได้แก่
– พันธุ์ Marathon
– พันธุ์ Virginia Savoy
3. ชนิดใบกึ่งย่น (Semi- Savoy leaf) ได้แก่
– พันธุ์ Early Hybrid 7 Chesapeake
– พันธุ์ Grandstand
ประโยชน์ปวยเล้ง/ปวยเหล็ง
1. ปวยเล้งรับประทานได้ทั้งก้านใบ ใบ และดอก เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง นิยมรับประทานเป็นผักสด ผักลวก และใช้ประกอบอาหารหลายเมนู
2. ปวยเล้งทั้งลำต้นหรือตัดเฉพาะใบมาคั้นทำผักดอง
3. ใบแก่ปวยเล้งใช้เลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะหมู และเป็ด
คุณค่าทางโภชนาการปวยเล้ง (100 กรัม)
Proximates | ||
น้ำ | กรัม | 93.1 |
พลังงาน | กิโลแคลอรี่ | 25 |
โปรตีน | กรัม | 2.6 |
ไขมัน | กรัม | 0.9 |
คาร์โบไฮเดรต | กรัม | 1.6 |
ใยอาหาร | กรัม | 0.7 |
เถ้า | กรัม | 1.8 |
Minerals | ||
แคลเซียม | มิลลิกรัม | 54 |
เหล็ก | มิลลิกรัม | 0.1 |
ฟอสฟอรัส | มิลลิกรัม | 60 |
Vitamins | ||
วิตามิน C | มิลลิกรัม | 15 |
ไทอะมีน | มิลลิกรัม | 0.05 |
ไรโบฟลาวิน | มิลลิกรัม | 0.48 |
ไนอะซีน | มิลลิกรัม | 0.4 |
เบต้า-แคโรทีน | ไมโครกรัม | 2520 |
วิตามิน A, RAE | ไมโครกรัม | 420 |
ที่มา : [4]
สรรพคุณปวยเล้ง/ปวยเหล็ง
– ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้มองเห็นได้ดีในกลางคืน
– ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ผุดผ่อง
– ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
– ช่วยบำรุงประสาท แก้โรคซึมเศร้า
– ช่วยบำรุงสมอง แก้โรคสมองเสื่อม ช่วยกระตุ้นความจำ
– ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
– ลดอาการเจ็บคอ
– ช่วยขับปัสสาวะ
– ใช้แก้อาการเหน็บชา
– แมกนีเซียม ช่วยให้ผ่อนคลาย และนอนหลับง่าย
– แคลเซียม ช่วยการสร้างกระดูก และต้านกระดูกพรุน
– ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
– ช่วยป้องกันโรคในระบบเส้นเลือด และหัวใจ
– แก้อาการท้องร่วง
เพิ่มเติมจาก : [1]
การปลูกปวยเล้ง/ปวยเหล็ง
ปวยเล้งเป็นพืชที่ปลูกมากในแถบประเทศอากาศหนาว แต่บางพันธุ์เติบโตได้ดีในแถบประเทศอบอุ่น โดยแถบประเทศตะวันตก พบปลูกในอิตาลี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา ส่วนในเอเชียพบปลูกมากในประเทศจีน และประเทศที่มีอากาศหนาวใกล้เคียง ส่วนประเทศไทยมีการปลูกในภาคเหนือ บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และลำปาง
ปวยเล้งเป็นพืชที่เติบโตได้ดีในพื้นที่อากาศอบอุ่นถึงหนาว ปวยเล้งจะเติบโตช้าหากมีอุณหภูมิสูง การเติบโตหยุดชะงัก ทำให้ลำต้นแคระแกร็น และเมล็ดป่วยเล้งจะไม่งอก หากมีอุณหภูมิสูงกว่า 30 ºC [3] อ้างถึงใน Work และCarew (1955)
การเตรียมดิน เตรียมแปลง
แปลงปลูกจะต้องไถพรวนดินอย่างน้อย 1 ครั้ง และตากดินนาน 5-7 วัน ก่อนไถพรวนให้หว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองพื้น อัตรา 1-2 ตัน/ไร่ พร้อมกำจัดวัชพืชทิ้งให้หมด จากนั้น ไถยกร่อง กว้างประมาณ 1-1.5 เมตร ยาวตามขนาดของพื้นที่หรือตัดแบ่งความยาวออกเป็นช่วงๆตามความเหมาะสม
วิธี และขั้นตอนการปลูก
การปลูกปวยเล้ง แบ่งเป็น 3 แบบ คือ
1. การหว่านเมล็ด
ควบคุมการหว่านเมล็ดให้มีระยะห่าง ประมาณ 10-15 เซนติเมตร ก่อนคราดเกลี่ยหน้าดิน แล้วรดนำให้ชุ่ม
2. การหยอดเมล็ด
ใช้ไม้ขีดลากเป็นร่องตื้นๆตามแนวยาวของแปลง ระยะห่างระหว่างร่อง 15-20 เซนติเมตร ก่อนหยอดเมล็ดเป็นจุดๆ ห่างกันแต่ละจุด 10-15 เซนติเมตร แล้วคราดเกลี่ยกบร่อง และรดน้ำให้ชุ่ม
3. การปลูกจากต้นกล้า
หว่านเมล็ดลงแปลงเพาะหรือหยอดเพาะในกระบะเพาะชำ หลังการหว่านหรือหยดเมล็ดเกลี่ดินกลบเล็กน้อย จากนั้น รดน้ำ และดูแลจนต้นกล้าอายุ 7-10 วัน จึงถอนต้นย้ายลงปลูกในแปลง ระยะปลูก 15-20 เซนติเมตร ทั้งระยะต้น และระยะแถว
การดูแลรักษา
1. การใส่ปุ๋ย
– หลังการปลูก 10-15 วัน ให้ใส่ปุ๋ยคอก 1 ถังเล็ก/ 2 ตารางเมตร หรือประมาณ 1.5-2.5 ตัน/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 16-8-8 อัตรา 1 กำมือ/2 ตารางเมตร หรือประมาณ 10-20 กิโลกรัม/ไร่
2. การให้น้ำ
หลังจากการปลูก 5-7 วันแรก ให้รดน้ำทุกวันเพียงพอชุ่ม หลังจากนั้น เว้นระยะการให้น้ำเป็นวันละครั้งหรือ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์
3. การกำจัดวัชพืช
มั่นกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกด้วยการถอนมือ เป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ไม่แนะนำการใช้สารเคมี
การเก็บผลผลิต
ปวยเล้ง มีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 30-45 วัน หลังหว่านเมล็ด หากปล่อยให้เติบโตต่อ ปวยเล้งจะแทงช่อดอก และใบจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
การเก็บปวยเล้ง นิยมเก็บทั้งต้นในระยะที่แตกใบแล้ว 20-25 ใบ และมีใบขนาดใหญ่ประมาณ 5-8 ใบ ทั้งนี้ การเก็บปวยเล้ง นิยมเก็บถอนในช่วงเช้าตรู่ถึงสายหรือช่วงเย็น หากเก็บในช่วงแดดร้อน มักทำให้ใบแห้งเหี่ยว ใบเปราะหักง่าย เมื่อถอนต้นแล้ว ให้นำต้นมาล้างทำความสะอาด และตัดรากออก แล้ววางผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ก่อนบรรจุถุงรอจำหน่าย
เอกสารอ้างอิง
[1] เกรียงศักดิ์ สุขสบาย และบุญโชติ ดีพร้อม, 2551, การศึกษาประสิทธิภาพของผักปวยเล้ง
ในการยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน-
ของน้ำมันที่ใช้ทอดอาหาร.
[2] ณัฏฐิณี บัวพงษ์ , 2547, การตรวจสอบดีเอ็นเอเมทิลเลชันในลำไย-
และปวยเล้ง ในระยะการชักนำการออกดอก-
โดยเทคนิคเอชเอที-อาร์เอพีดี.
[3] วิลาวัลย์ คำปวน, 2535, ผลของการใช้ระบบความเย็นต่อเนื่อง-
ต่อการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวของ-
กระเทียมต้น และปวยเหล็ง.
[4] กองโภชนาการ กรมอนามัย, 2544, ตารางแสดงคุณค่าทาง-
โภชนาการของอาหารไทย.