Last Updated on 4 เมษายน 2017 by puechkaset
ถั่วเขียว (Mungbean) จัดเป็นพืชไร่ที่นำส่วนของเมล็ดมาใช้ประโยชน์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการนำมาประกอบอาหารหรือของหวาน การแปรรูปเป็นวุ้นเส้น การเพาะเป็นถั่วงอก การนำไปผสมอาหารสัตว์ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีการปลูกมากในพื้นที่ต่างๆ ทั้งส่งเข้าโรงงานแปรรูป ส่งออกต่างประเทศ และนำมาจำหน่ายบริโภค
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ราก
ถั่วเขียวมีรากเป็นระบบรากแก้ว (Tap Root System) เหมือนกับถั่วเหลือง และมีรากแขนง (lateral root) เจริญแตกออกมาจากรากแก้ว รากของถั่วเขียวมักยั่งลึก และรากแขนงเยอะ ทำให้ถั่วเขียวเติบโตได้เร็วดินที่มีความชื้น บริเวณรากมักจะพบปมของเชื้อแบคทีเรียไรโซเบียม (Rizobium spp.) ทำหน้าที่ช่วยตรึงไนโตรเจน
ลำต้น
ถั่วเขียวเป็นพืชล้มลุก มีลักษณะลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม ความสูงทรงพุ่มประมาณ 30-150 เซนติเมตร ซึ่งขึ้นอยู่กับพันธุ์ ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีขนอ่อนปกคลุม ทั้งนี้ ถั่วเขียวบางสายพันธุ์อาจมีลักษณะลำต้นเลื้อย
ใบ
ใบเลี้ยง (Cotyledon) เป็นใบแรกหลังการงอก ส่วนใบจริงคู่แรก (Unifoliate Leaves) ที่มี 2 ใบ เป็นใบที่เกิดจากใบเลี้ยง เมื่อโตสักระยะจะเป็นใบประกอบ 3 ใบ (Trifloliate Leaves) เกิดสลับบนต้น และใบหนึ่งๆจะประกอบด้วยใบย่อย (Leaflet) จำนวน 3 ใบ ก้านใบ (Petiole) บริเวณฐานมีหูใบ (Stipule) 2 อัน
ดอก
ดอกมีลักษณะเป็นช่อ (Inflorescence) เกิดขึ้นบริเวณมุมใบด้านบนบริเวณปลายยอด และกิ่งก้าน ช่อดอกประกอบด้วยก้านดอก (Peduncle) ยาว 2-13 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ดอกเกิดเป็นกลุ่ม จำนวนดอกประมาณ 10-15 ดอก สีดอกมีหลายสี เช่น สีเหลือง สีขาว และสีม่วง
ฝัก และเมล็ด
ฝักมีลักษณะกลมยาว สีเขียว ปลายโค้งงอเล็กน้อย โดยเฉพาะถั่วเขียวผิวมัน ส่วนถั่วเขียวผิวดำฝักจะตรง และสั้นกว่าถั่วเขียวผิวมัน เมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลจนถึงสีดำตามอายุ และขึ้นอยู่กับพันธุ์ ฝักจะมีเมล็ดประมาณ 10-15 เมล็ด 100 เมล็ด หนักประมาณ 2-8 กรัม ขึ้นอยู่กับพันธุ์
ประโยชน์ของถั่วเขียว
1. นำมาประกอบอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทของหวานได้หลายชนิด เช่น ถั่วเขียวต้ม
2. นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร อาทิ ทำวุ้นเส้น ทำแป้ง เป็นต้น
3. นำมาสกัดเป็นน้ำมันถั่วเขียวสำหรับประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ใช้ประกอบอาหาร ส่วนผสมเครื่องสำอาง ใช้ในภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น
ชนิดของถั่วเขียวในประเทศไทย
ชนิดของถั่วเขียวในประเทศไทย แบ่งตามลักษณะเปลือกเป็น 4 ชนิด คือ
1. ถั่วเขียวเมล็ดมัน เป็นถั่วเขียวที่มีลักษณะเมล็ดสีเขียวมีมันวาว ฝักเมื่อแก่จะลักษณะสี 2 สี ตามสายพันธุ์ คือ พันธุ์อู่ทอง 1?ฝักมีสีดำ และพันธุ์พื้นเมืองฝักขาว ฝักมีสีขาวนวล
2. ถั่วเขียวธรรมดา หรือถั่วเขียวเมล็ดด้าน เป็นถั่วเขียวที่มีสีเขียว มีลักษณะเมล็ดด้าน
3. ถั่วเขียวสีทอง มีลักษณะคล้ายกับถั่วเขียวผิวมัน และถั่วเขียวธรรมดา แต่เมล็ดมีสีเขียวอมเหลือง มีทั้งลักษณะเมล็ดด้าน และเมล็ดมัน
4. ถั่วเขียวผิวดำ เป็นถั่วเขียวที่มีลักษณะเมล็ดคล้ายกับถั่วเขียวธรรมดา แต่ต่างจากถั่วเขียวธรรมดาคือ ลำต้นมีทรงพุ่มใหญ่ และแตกกิ่งก้านมากกว่า บางพันธุ์อาจมีลักษณะยอดเลื้อยพันกัน ใบหนา ลำต้นมีขนปกคลุม ลักษณะก้านใบ และฝักหนากว่า ดอกออกสีเขียวอมเหลือง ฝักป้อมสั้นกว่า เมล็ดมีสีดำมีขนาดปานกลาง อายุเก็บเกี่ยวในช่วง 80-90 วัน
การปลูกถั่วเขียว
ฤดูปลูก
การปลูกถั่วเขียวในบ้านเราแบ่งตามช่วงฤดูเป็น 3 ฤดูกาล คือ
1. การปลูกถั่วเขียวผิวมันต้นฤดูฝน มักเป็นการปลูกตามพื้นที่ไร่ในต้นฤดูฝนช่วงเดือนเมษายน-ต้นเดือนมิถุนายน และจะเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม การปลูกถั่วเขียวในลักษณะนี้จะมีผลผลิตประมาณร้อยละ 10 ของผลผลิตทั้งหมด เนื่องจากเป็นการปลูกบางพื้นที่เพื่อการผลิตถั่วเขียวงโดยเฉพาะ การปลูกในช่วงนี้ถั่วเขียวจะเจริญเติบโตดี แตกกิ่งก้านสาขามาก เพราะได้รับน้ำฝนอย่างต่อเนื่อง มีอุณหภูมิ และความชื้นเหมาะแก่การเจริญเติบโต จึงทำให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าฤดูอื่น แต่อาจประสบปัญหาเรื่องฝักเสียหายจากน้ำฝน
2. การปลูกถั่วเขียวปลายฝน มักปลูกในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน และเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ถั่วเขียวที่ผลิตในช่วงนี้มีปริมาณมากที่สุด ประมาณร้อยละ 80 ของผลผลิตทั้งหมด เนื่องจากมีปริมาณพื้นที่ปลูกมากขึ้นหลังหลังการเก็บเกี่ยวพืชไร่อื่น ๆ เช่น ปลูกหลังข้าวโพด ปลูกหลังถั่วลิสง เ็นต้น ผลผลิตที่ได้ต่อไร่จะต่ำกว่าการปลูกในช่วงต้นฝน เนื่องจากได้รับน้ำที่น้อยลง แต่คุณภาพไม่แตกต่างมากนัก อีกทั้งลดความเสียหายของเมล็ดจากน้ำฝนได้
3. การปลูกถั่วเขียวผิวมันหลังฤดูการเก็บเกี่ยวข้าว การปลูกถั่วเขียวในลักษณะนี้ เรียกว่า ถั่วนา โดยปลูกในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม หลังการเก็บเกี่ยว และเก็บเกี่ยวประมาณเมษายน-พฤษภาคม มีผลผลิตประมาณร้อยละ 10 ของผลผลิตทั้งหมด เนื่องจากมีพื้นที่การปลูกน้อย และมีเฉพาะบางพื้นที่
การปลูกถั่วเขียวผิวมัน
ถั่วเขียวผิวมันถือเป็นพันธุ์ถั่วเขียวที่นิยมปลูกมากที่สุด เนื่องจากมีความต้องทางตลาดสูง และสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย ปัจจุบันมี 3 พันธุ์ คือ พันธุ์อู่ทอง 1 พันธุ์กำแพงแสน 1 และพันธุ์กำแพงแสน 2
ถั่วเขียวพันธุ์อู่ทอง 1 เป็นพันธุ์ที่เกษตรกรนิยมปลูกมานาน พันธุ์นี้ มีชื่อเดิมว่า พันธุ์ M7 A ได้รับการปรับปรุง และคัดพันธุ์ในปี 2514 เป็นพันธู์มีลักษณะดีเด่นหลายด้าน ได้แก่ ต้นมีลักษณะเป็นพุ่ม สูงตั้งแต่ 50 – 75 เซนติเมตร กิ่งก้านมาก ใบใหญ่ ออกดอกเมื่ออายุ 35 วัน ดอกออกเป็น 2 ชุด ดอกชุดที่สองเริ่มออกเมื่อฝักรุ่นแรกเริ่มแก่ ฝักเป็นกระจุก 5-8 ฝัก ฝักชุดแรกมีเฉลี่ยต้นละ 15 – 25 ฝัก หนึ่งฝักมี 8-14 เมล็ด ฝักอ่อนมีสีเขียว และสีดำเมื่อแก่ ฝักค่อนข้างเหนียว ไม่เปราะ และแตกง่าย เมล็ดมีสีเขียวผิวเมล็ดมันวาว อายุการเก็บเกี่ยวที่ 65-70 วันหลังงอก ให้ผลผลิตสูง 150-200 กิโลกรัม/ไร่ สามารถเก็บผลผลิตได้ 2 ครั้ง
ดินที่เหมาะ
ลักษณะดินที่เหมาะสำหรับปลูกถั่วเขียวจะเป็นดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินร่วนซุ่ยดี มีหน้าดินลึก ระบายน้ำ และไม่มีน้ำท่วมขัง มีแร่ธาตุ N P K และอินทรีย์วัตถุที่เพียงพอ และควรมีจุลินทรีย์ในดินสูง
สำหรับดินเหนียวหรือดินเลน เป็นดินที่ให้ผลผลิตถั่วไม่ค่อยดี เนื่องจากอุ้มน้ำดี ทำให้ดินเฉะ และท่วมขังง่าย หากต้องการปลูกจะต้องทำร่องหรือทางน้ำไหลสำหรับระบายน้ำออกแปลง โดยเฉพาะการปลูกในฤดูฝน
ส่วนดินที่มีลักษณะเป็นดินทรายจัด มักพบเป็นพื้นที่ไร่ในที่สูง เช่น พื้นที่ไร่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ลักษณะนี้มักประสบปัญหาเรื่องน้ำไม่เพียงพอ และมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ จึงต้องบำรุงดินด้วยปุ๋ยหมัก และปุ๋ยเคมีในปริมาณที่พอเหมาะ และที่สำคัญต้องจัดหาระบบให้น้ำที่เพียงพอ แต่โดยทั่วไปการปลูกในพื้นที่ดินทรายมักปลูกในช่วงฤดูฝนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ หรือปลูกในที่ดอนหลังการเก็บเกี่ยวข้าว
การเตรียมดิน
ลักษระการเตรียมดินอาจแตกต่างกันตามสภาพพื้นที่ และฤดูการปลูก โดยทั่วไปจะทำการเตรียมดินด้วยการไถพรวนดิน และกำจัดวัชพืชอย่างน้อย 1- 2 ครั้ง โดยอาจไถครั้งเดียวก่อนปลูกเพื่อลดต้นทุน ด้วยการไถหน้าดินลึกประมาณ 30 ซม. โดยมีระยะห่างการไถประมาณ 1-2 อาทิตย์ และ 5-10 วันก่อนปลูก การไถก่อนปลูกมักไถขึ้นร่อง เป็นร่องเดี่ยว กว้าง 30-40 ซม.
วิธีการปลูก และระยะปลูก
การปลูกถั่วเขียวทำได้ 3 วิธีการ คือ
1. การปลูกเป็นหลุม วิธีนี้เป็นการปลูกโดยวิธีหยิดหลุมบนคันร่องที่เตรียมไว้ โดยมีระยะระหว่างแถวประมาณ 50 เซนติเมตร และระยะระหว่างหลุม 20 เซนติเมตร หยอดเมล็ดหลุมละ 2-3 ต้น ความลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร ซึ่งจะใช้เมล็ด 3-5 กิโลกรัม/ไร่
2. การปลูกแบบโรยเป็นแถว วิธีนี้เป็นการปลูกบนคันร่องเช่นกัน ด้วยการเปิดร่องตามแนวยาวบนคันร่อง ระยะระหว่างร่อง 50 เซนติเมตร ทำการโรยเมล็ดลงในร่อง 10-15 เมล็ด ต่อระยะ 1 เมตร ความลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร ใช้เมล็ดประมาณ 5 กิโลกรัม/ไร่ ไม่ควรลึกมากกว่านี้เพราะเมล็ดจะงอกยาก หรืองอกแล้วอาจเน่าได้ ภายหลังจากโรยเมล็ดให้เกลี่ยดินด้านบนกลบตาม
การตรวจเช็คการงอก การปลูกซ่อม และการถอนแยก
โดยทั่วไปเมล็ดถั่วเขียวจะงอกภายใน 3-5 วัน หลังปลูก บางพื้นที่ เช่น ภาคเหนือที่ปลูกในช่วงอากาศหนาว เมล็ดอาจงอกช้าขึ้นประมาณ 4-7 วัน หลังปลูก บางหลุมหรือบางส่วนเมล็ดอาจไม่งอกจากสาเหตุของเมล็ดถูกทำลายจากแมลงหรือสัตว์หน้าดิน รวมถึงความชื้นหรือปลูกในระดับที่ลึกเกิน จึงจำเป็นต้องตรวจสอบการงอกของเมล็ดในแต่ละแถว หากหลุมหรือแนวเมล็ดที่ไม่งอกให้ทำการหยอดเมล็ดปลูกซ่อมแซมใหม่โดยเร็วเพื่อให้ต้นเกิดใหม่สามารถเก็บเกี่ยวได้พร้อมกับต้นอื่นๆ โดยไม่ควรปลูกซ่อมแซมภายหลังจาก 5 วัน หลังเมล็ดถั่วที่ปลูกครั้งแรกงอก ส่วนบางหลุมที่มีการหยอดเมล็ด และเมล็ดเกิดงอกมากกว่า 3 ต้น/หลุม ให้ทำการถอนต้นถั่วเขียวที่เล็กหรือไม่สมบูรณ์ทิ้ง โดยให้เหลือเพียง 2-3 ต้น/หลุม
การคลุกเชื้อไรโซเบียม และการให้ปุ๋ย
บางพื้นที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตมักใช้เมล็ดคลุกเชื้อเชื้อไรโซเบียมก่อนปลูก เพื่อให้เชื้อไรโซเบียมติดบริเวณรากถั่ว และสร้างปมสำหรับตึงธาตุอาหารไนโตรเจน โดยใช้เชื้อ 1 ถุง ขนาด 200 กรัม ต่อเมล็ดพันธุ์ 5 กิโลกรัม
การใส่ปุ๋ยแก่ถั่วเขียวมักใช้ปุ๋ยสูตร? 16-20-0 อัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ ใส่รองก้นหลุมหรือโรยตามแนวร่องก่อนปลูก และใส่ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ในระยะที่ต้นเริ่มแตกงอ
การป้องกันกำจัดวัชพืช
1. สารเคมีสำหรับป้องกันกำจัดวัชพืชที่ได้ผลดี คือ อะลาคลอร์ (Alachlor) ในอัตรา 300-600 ซี.ซี./ไร่ โดยฉีดพ่นหลังปลูกเสร็จทัน ไม่ควรการฉีดพ่นหลังมีการงอดของเมล็ด ในระยะที่มีวัชพืชเริญเติบโตแล้ว อาจใช้ฉีดพ่นด้วยสารพาราควอท อัตรา 300-400 ซี.ซี./ไร่
2. การป้องกันกำจัดวัชพืชโดยใช้แรงงาน เป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อเกษตรกร และคุณภาพของถั่วเขียวมากที่สุด เนื่องจากไม่ต้องเสี่ยงอันตรายจากสารเคมี และผลที่อาจเกิดกับต้นถั่วของสารเคมี ซึ่งมักใช้จอบถากกำจัดวัชพืชตามแนวแถวให้หมด โดยอาจต้องทำการกำจัด 1-2 ครั้ง ตลอดอายุการปลูก ในช่วง 10-14 วันหลัง และ 30-40 วัน หลังปลูก
โรคของถั่วเขียว และการป้องกันกำจัด
1. โรคใบจุดสีน้ำตาล (Cercospora Leafs Spot)
โรคนี้พบระบาดในฤดูฝน เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Cercospora canescens Ellis & Martin มักเกิดกับถั่วเขียวอายุตั้งแต่ 2 สัปดาห์ หลังการงอก และมีการระบาดมากในช่วงออกดอกจนถึงระยะที่ใกล้เก็บเกี่ยว ลักษณะของโรค คือ ใบเป็นจุดสีน้ำตาล มีลักษณะค่อนข้างกลม ตรงกลางแผลมองเห็นเป็นเส้นใยสีเทา ขนาดแผลเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 มม. – 5 มม. อาจมีลักษณะเป็นวงสีเหลืองรอบแผล ขณะขยายตัว เมื่อแผลชิดกันจะมีลักษณะสีน้ำตาล ผลของโรค คือ ทำให้ฝักลีบ และมีขนาดเล็ก
การแก้ไขโดยการฉีดสารเคมีพวกท็อกซิน เคลซีน หรือเบนเลท อัตรา 6-12 กรัม หรือ 1-2 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตร โดยฉีดพ่นเมื่อถั่วอายุประมาณ 30 วัน หลังงอก และฉีดพ่นทุก ๆ 14 วัน
2. โรคราแป้ง (Powdery Mildrew)
โรคนี้พบการระบาดในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูแล้ง โดยเฉพาะในช่วงที่มีอากาศเย็น เป็นเชื้อราพวก Oidium sp. สปอร์จะได้รับความชื้น และเติบโตสร้างเส้นใยดูดกินน้ำเลี้ยงจากผิวใบของถั่ว ทำให้ใบแห้ง ลักษณะที่พบมักเกิดตามใบล่าง โดยมีเส้นใยของราสีขาวคล้ายผงแป้งบนใบถั่ว ต่อมาใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง และแห้งตาย ต้นถั่วเขียวแคระแกรน หากเกิดโรคในระยะออดอกหรือติดฝัก จะทำให้ผลผลิตน้อยลง
การป้องกันได้หลายวิธี เช่น การกำจัดวัชพืชในแปลง การปลูกถั่วเขียวสลับกับพืชอื่นในระหว่างแถว ส่วนการใช้สารเคมี จะใช้สารพวกเบนเลท อัตรา 6-12 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น เมื่อถั่วเขียวอายุ 30 วัน หลังงอก และฉีดซ้ำทุก ๆ 14-15
แมลงศัตรูถั่วเขียว และการป้องกันกำจัด
1. หนอนแมลงวันเจาะต้นถั่ว (bean fly) เกิดจากหนอนแมลงที่วางไข่ ( 50-100 ฟอง/ตัว) ในระยะต้นกล้าหลังงอกใหม่ เมื่อฟักตัวเป็นหนอนจะเข้ากัดกินเนื้อเยื่อตามใบ และลำต้น ทำให้ต้นถั่วตาย หากเป็นต้นถั่วโตแล้ว หนอนจะเข้าเจาะกินลำต้นบริเวณยอด ทำให้ยอดเหี่ยวตาย การป้องกัน และกำจัดทำ โดยการหว่านฟูราดาน 3%G อัตรา 3-5 กิโลกรัม/ไร่ ก่อนปลูกหรือหลังปลูก หรือฉีดพ่นด้วยสารโมโนโครโตฟอส 56% WSC อัตรา 15-20 ซี.ซี./น้ำ 20 ลิตร หลังการงอก 7 วัน
2. เพลี้ยอ่อน (Aphid) พบระบาดมากในฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วง โดยเพลี้ยจะเข้าดูดกินน้ำเลี้ยงตามยอดอ่อน ใบอ่อน ช่อดอก และฝักอ่อน ทำให้ยอดหงิกงอ ดอกร่วง ฝักร่วง และต้นแคระแกรน การป้องกันกำจัด ทำได้โดยการฉีดพ่นด้วยสารโมโนโครโตฟอส์ อัตรา 25-30 ซี.ซี./น้ำ 20 ลิตร
3. เพลี้ยไฟ (Thrips) พบระบาดมากในช่วงฝนฝนทิ้งช่วง และแดดร้อน โดยเข้าดูดกินน้ำเลี้ยงจากส่วนยอด และดอก ทำให้ยอดหงิกงอ ใบแห้ง ดอกร่วง ฝักอ่อนร่วงหรือลีบ ไม่ติดเมล็ด ป้องกัน และกำจัดโดยวิธีฉีดพ่นด้วยสารโมโนโครโตฟอส 56% WSC อัตรา 25-30 ซี.ซี./น้ำ 20 ลิตร
4. หนอนเจาะฝัก (Pod Borers) พบระบาดในปลายฤดูฝนหรือฤดูแล้ง ป้องกัน และกำจัดโดยการฉีดพ่นโมโนโครโตฟอส 56% WSC อัตรา 40-50 ซี.ซี./น้ำ 20 ลิตร
5. มอดถั่ว (Bean Seed Beetly) เป็นแมลงที่เข้าทำลายเมล็ดถั่วในระยที่อยู่ในฝัก สามารถติดไปกับเมล็ดในช่วงการเก็บเกี่ยว ทำให้มีการแพร่พันธุ์ และกัดกินเมล็ดขณะเก็บในถุงกระสอบ สามารถป้องกัน และกำจัดได้โดยการคลุกเมล็ดด้วยสารเคมีพวกมาลาไธออนผง หรือสารอลามอน หากต้องการเก็บไว้นาน ส่วนเมล็ดที่เก็บไว้บริโภคนั้นไม่ควรคลุกสารเคมีใดๆ แต่สามารถป้องกันได้โดยการคลุกด้วยน้ำมันถั่วเหลือง ประมาณ 3-5 ซี.ซี./เมล็ด 1 กิโลกรัม
การเก็บเกี่ยว และการนวดถั่วเขียว
ถั่วเขียวที่ปลูกในพื้นที่ต่างๆมักออกดอกไม่พร้อมกัน จึงทำให้ระยะการแก่ของฝักไม่พร้อมกัน ทำให้ต้องเก็บเกี่ยวหลายครั้ง หากมีระยะการเก็บในฤดูฝนเมล็ดอาจเสียหายได้ ซึ่งอาจต้องรีบเก็บเกี่ยวฝักทันทีเมื่อเริ่มเข้าฤดูฝน? แต่หากเก็บผลผลิตแบบทะยอยเก็บต้องก็ต้องระวังไม่ให้ดอกถั่วเขียวรุ่นหลังร่วงหรือติดฝักมาด้วย สำหรับถั่วเขียวที่ถึงระยะการเก็บเกี่ยวฝักนั้นมักมีอายุประมาณ 60-70 วันนับจากวันงอก ทั้งรุ่นแรก และรุ่นที่สอง
การนวดถั่วเขียวเป็นการแยกเมล็ดออกจากฝักถั่วเขียว ซึ่งวิถีชาวบ้านมักใช้วิธีการเก็บฝักเมล็ดถั่วเขียวที่ตากแห้งแล้งใส่ถุงกระสอบ และทุบด้วยไม้เบาๆ เพื่อให้ฝักกระเทาะ และแยกเมล็ดออกตกลงสู่ด้านล่างกระสอบ จากนั้นนำมาฝัดแยกเศษฝักด้วยกระด้งหรือเครื่องสีฝัด ส่วนฝักที่ไม่แตกเมล็ดออกอาจนำมาบรรจุกระสอบทุบอีกครั้ง หรือใช้มือขยี้เพื่อให้ฝักแตกออกอีกที