Last Updated on 24 พฤษภาคม 2016 by puechkaset
มะระจีน เป็นมะระที่มีการนำเข้ามาจากประเทศจีน และปรับปรุงพันธุ์ให้มีลักษณะเหมาะสมต่อการปลูกในประเทศไทย ถือเป็นผลมะระที่ได้รับความนิยมในการนำมารับประทานมากที่สุด เนื่องจากมีผลขนาดใหญ่ เนื้อหนา รสชาติไม่ขมมากเหมือนมะระไทย
มะระจีน เป็นพืชล้มลุกปีเดียวที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน มีลักษณะลำต้นเป็นเถาเลื้อยยาวตามพื้นดินหรือตามต้นไม้ที่ขึ้นรอบข้าง ลำต้นเป็นเหลี่ยม ใบเป็นใบเดี่ยว ใบเว้าเป็นแฉกลึก 5-7 แฉก ขอบใบเป็นร่องห่าง มีขนสากตามลำต้น และใบ ดอกมีสีเหลืองออกตามช่อใบ ผลดิบมีลักษณะสีเขียวอ่อน ผิวขรุขระเป็นร่องกว้างตามแนวยาวของผล ผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5-7 ซม. ยาว 15-25 ซม. เนื้อหนา 0.5-1 ซม.
มะระจีน ถือเป็นผักที่นิยมรับประทานมากสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน เนื่องจากมีสารประกอบหลายชนิด อาทิ แคแรนทิน (charantin), โพลีเปปไทด์ พี (p-insulin) และวิซิน (vicine) ซึ่งมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้
คุณค่าทางอาหาร (ในมะระ 100 กรัม)
– ใยอาหาร 2.8 กรัม
– ขี้เถ้า 1.1 กรัม
– โปรตีน 1 กรัม
– คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม
– ไขมัน 0.17 กรัม
– พลังงาน 17 กิโลแคลอรี
– วิตามิน A 380 มิลลิกรัม
– วิตามิน B1 0.04 มิลลิกรัม
– วิตามิน B2 0.4 มิลลิกรัม
– วิตามิน B3 0.4 มิลลิกรัม
– วิตามิน B5 0.212 มิลลิกรัม
– วิตามิน B6 0.043 มิลลิกรัม
– วิตามิน C 84 มิลลิกรัม
– สังกะสี 0.8 มิลลิกรัม
– แคลเซียม 19 มิลลิกรัม
– ทองแดง 0.034 ไมโครกรัม
– เหล็ก 0.43 มิลลิกรัม
– แมกนีเซียม 17 มิลลิกรัม
– แมงกานีส 0.089 มิลลิกรัม
– ฟอสฟอรัส 31 มิลลิกรัม
– โพแทสเซียม 296 ไมโครกรัม
– โซเดียม 5 มิลลิกรัม
การปลูกมะระจีน
มะระจีนสามารถปลูกได้ดีในทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือหรือในช่วงปลายฝนจนถึงฤดูหนาว สามารถปลูกได้ในทุกดิน แต่จะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ดินร่วนปนทรายหรือดินที่มีหน้าดินลึก โดยใช้วิธีการหยอดเมล็ดหรือปลูกจากต้นกล้าเท่านั้น
1. การปลูกในแปลง
การปลูกในแปลงสามารถปลูกด้วยวิธีการยกร่องแปลงสำหรับพื้นที่ลุ่มเป็นดินเหนียว และมีน้ำขัง ส่วนพื้นที่ที่ไม่มีปัญหาในเรื่องน้ำท่วมหรือน้ำขังอาจไม่จำเป็นต้องยกร่องก็ได้
การเตรียมดิน
– ทำการไถพรวนดิน พร้อมกำจัดวัชพืช และตากแดดประมาณ 5-10 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดดิน
– ทำแนวปลูกด้วยการขึงเชือกหรือกะระยะ ในระยะระหว่างแถว 1-1.5 เมตร
– ทำการไถตามจุดของแนวปลูกตามแนวยาวของแปลงให้เป็นร่องลึกประมาณ 30 ซม. เกษตรกรบางรายอาจไม่ไถเป็นร่อง และหว่านปุ๋ยทั่วตลอดแปลงซึ่งจะทำให้เกิดการสิ้นเปลืองปุ๋ยเสียเปล่า แต่การหว่านปุ๋ยทั้งแปลงจะเหมาะสำหรับแปลงที่ยกร่องปลูก แล้วจึงไถกลบ
– หว่านโรยปุ๋ยหมักหรือมูลโค ปริมาณ 1000 กก./ไร่ และปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ปริมาณ 30 กก./ไร่
– ทำการไถกลบหรือกลบแนวร่อง ตากดิน 2-3 วัน
การเตรียมกล้า
– ทำการเพาะกล้าในกระบะเพาะกล้า โดยใส่ดินผสมมูลสัตว์หรือวัสดุอื่นๆ เช่น ขี้เถ้า กากมะพร้าว เป็นต้น
– รดน้ำให้ชุ่ม วันละ 1-2 ครั้ง เช้า-เย็น
– กล้าที่เริ่มแตกใบ 4-6 ใบ หรือ 15-20 วัน สามารถนำมาปลูกได้
วิธีการปลูก
– การปลูกด้วยกล้ามะระ ให้ปลูกในระยะห่างของหลุม 1.5-2 เมตร
– การปลูกด้วยการหยอดเมล็ด ให้หยอดเมล็ด 1-2 เมล็ด/หลุม ในระยะห่างของหลุมเช่นเดียวกัน
– หลังการปลูกหรือหยอดเมล็ดเสร็จ ต้องรดน้ำหลุมปลูกให้ชุ่ม
การให้น้ำ
จะเริ่มให้น้ำตั่งแต่ปลูกเสร็จทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง จนถึงก่อนระยะการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย 1-2 ครั้ง ซึ่งอาจให้น้ำด้วยระบบสเปรย์ ระบบน้ำหยด และการให้น้ำแบบแรงงานคน
การใส่ปุ๋ย และกำจัดวัชพืช
จะให้ปุ๋ยเดือนละ 1 ครั้ง นับตั้งแต่หลังการปลูกจนถึงประมาณ 1 เดือน ก่อนหมดผลเก็บเกี่ยว ปุ๋ยที่ให้ควรเป็นปุ๋ยคอกผสมกับปุ๋ยเคมีใน 2 ช่วง คือ
– ช่วงหลังปลูก-ก่อนออกดอก ใช้สูตร 16-16-8
– ช่วงเริ่มออกดอก-เก็บผล ใช้สูตร 12-12-24
ทั้งนี้ ให้กำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นทุกครั้งก่อนการใส่ปุ๋ย
การทำค้าง
ทำการทำค้างหลังการปลูกด้วยการขุดหลุมฝังเสาในระยะ 1.5-2 เมตร ของระหว่างหลุมตลอดตามแนวยาว ซึ่งอาจฝังตรงพร้อมกับทำค้างพาดตรงไปยังอีกแถวหรือโน้มเสาพาดทับกับอีกแถว โดยให้มีความสูงประมาณ 1.5-2 เมตร
2. การปลูกในกระถาง
– การปลูกในกระถางอาจใช้วัสดุที่เป็นกระถางพลาสติก กระถางดินเผาหรือกระถางประยุกต์จากวัสดุอุปกรณ์เหลือใช้ต่างๆ ซึ่งจะต้องเจาะรูระบายน้ำด้านล่าง
– วัสดุดินปลูกควรผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักร่วมกับปุ๋ยเคมีในสูตรข้างต้นเพียงเล็กน้อย
– จำนวนหลุมหรือต้นที่ปลูกจะขึ้นอยู่กับขนาดกระถาง แต่โดยปกติจะปลูกกระถางละหลุมหรือกระถางต่อต้นเท่านั้น
– การปลูกอาจใช้วิธีการปลูกด้วยต้นกล้าหรือเมล็ด แต่การปลูกวิธีนี้มีเพียงปริมาณน้อยจึงนิยมใช้วิธีการหยอดเมล็ดเท่านั้น โดยใช้เพียง 1-2 เมล็ด/กระถาง
– หลังปลูกจะต้องให้น้ำทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
– การทำค้างใช้วิธีการปักไม้ในกระถางหรือทำค้ำยันนอกกระถาง
การเก็บเกี่ยว
มะระจีนสามารถเก็บเกี่ยวผลได้ใน 40-50 วัน หลังจากเมล็ดงอก และสามารถเก็บผลได้ต่อเนื่องจนถึงระยะ 90 วัน โดยจะเก็บผลที่มีลักษณะสีเขียวอ่อน ซึ่งอยู่ในระยะพอดี หากผลมีสีออกขาวถือเป็นระยะแก่ เนื้อจะหยาบ